ทองคำIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป 

article-thumbnail

2025-10-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ราคาทองคำดิ่งแรง: กระทิงทองสิ้นสุดแล้วหรือยัง 

ราคาทองคำกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทำกำไรต่อเนื่องมาหลายเดือน ตอนนี้โลหะมีค่าชนิดนี้กำลังเผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ นักเทรดทั่วโลกต่างตั้งคำถามเดียวกันว่า ทำไมราคาทองถึงร่วง  ในมุมแรกอาจดูเหมือนเป็นเพียงการย่อตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป แต่ลึกลงไปใต้พื้นผิวนั้น มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่ากำลังเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องระดับโลก ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมทางการเงิน  เรามาดูกันว่า อะไรกันแน่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2025 ทำไมจีนและธนาคารกลางหลายประเทศยังคงสะสมทองคำ และการเทขายครั้งนี้เป็นเพียงความตื่นตระหนกระยะสั้น หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ลึกกว่านั้น  เรื่องราว 10 ปีของทองคำ: จากสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สู่สินทรัพย์ค้ำประกันสภาพคล่อง  ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทองคำได้เปลี่ยนจากบทบาทสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อแบบเดิม กลายมาเป็น สินทรัพย์หลักที่ค้ำจุนสภาพคล่องของระบบการเงินโลก  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองคำยังคงทรงตัวอย่างน่าทึ่งตลอดทศวรรษ 2020 แม้ต้องเผชิญกับการขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่กระแสของบิตคอยน์ก็ตาม  แต่การร่วงของราคาทองคำในปัจจุบัน ไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่ลดลง แต่เกิดจากแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระบบการเงินโลก เมื่อนักลงทุนเทขายทองคำ ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะต้องการแปลงสินทรัพย์เพื่อชำระมาร์จิ้น หรือปรับพอร์ตเข้าสู่เงินสด ไม่ใช่เพราะพวกเขาหมดศรัทธาในทองคำ  ดังนั้น การเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การล่มของทองคำ” อาจไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของตลาด  มุมมองทองคำและนโยบาย Reverse Repo ของเฟด  ราคาทองคำในตอนนี้สะท้อนสิ่งที่ลึกกว่าการตอบสนองต่อเงินเฟ้อธรรมดา  เมื่อปริมาณเงินในโครงการ Reverse Repo ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นกลไกให้ธนาคารและกองทุนพักเงินสดค้างคืน เริ่มลดลงจนเกือบแตะศูนย์ ราคาทองคำก็เริ่มพุ่งขึ้นทันที  และเมื่อยอดเงินดังกล่าวหายไปเกือบหมด ราคาทองคำก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำไมถึงเกิดแบบนี้ เพราะเมื่อระบบการเงินขาดสภาพคล่องที่พักอยู่ในระบบ สินทรัพย์ค้ำประกันในรูปกระดาษเริ่มสั่นคลอน และเงินทุนจะไหลไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่าง ทองคำ ซึ่งไม่สามารถผิดนัดชำระได้  ทองคำในตอนนี้จึงไม่ใช่เพียงสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น สินทรัพย์ค้ำประกันคุณภาพสูงสุด หรือสินทรัพย์สุดท้ายที่ระบบการเงินยังคงเชื่อมั่น  โลกกำลังส่งสัญญาณเงียบๆ ว่า หากระบบดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันเกิดรอยร้าว ทองคำนี่แหละคือสิ่งที่ยังคงมีมูลค่า  การเปลี่ยนแปลงนี้อธิบายได้ว่าทำไม มูลค่าตลาดของทองคำ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับฐานระยะสั้น มันไม่ใช่เรื่องของการไล่ล่ากำไรอีกต่อไป แต่คือการปกป้องความมั่งคั่งจากระบบที่กำลังเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ  ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง  ขณะที่นักเทรดรายย่อยตื่นตระหนกกับราคาทองที่ร่วงลง ธนาคารกลางกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขายังคงเข้าซื้อทองคำอย่างไม่เคยมีมาก่อน  จากข้อมูลล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเฉลี่ยต่อปีราว 830 ตันในปี 2025  เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เพียงอย่างเดียว มีถึง 23 ประเทศที่เพิ่มปริมาณสำรองทองคำของตนเอง ซึ่งมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยที่เคยเห็นระหว่างปี 2011 ถึง 2021 และนี่ถือเป็น ปีที่สี่ติดต่อกัน ที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำ 1,080 ตันในปี 2022, 1,051 ตันในปี 2023 และ 1,089 ตันในปี 2024 และในปี 2025 แนวโน้มยังคงต่อเนื่องเข้าสู่ ปีที่ 16 ติดต่อกันของการซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้  ก่อนปี 2010 ธนาคารกลางเคยเป็น “ผู้ขายสุทธิ” ทองคำติดต่อกันถึง 21 ปี แต่ปัจจุบันพวกเขาแทบหยุดซื้อไม่ได้เลย  สาเหตุสำคัญคือความเชื่อมั่นในระบบการเงินกระแสหลักเริ่มลดลง ทองคำไม่ใช่หนี้สินของใคร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวอชิงตัน ปักกิ่ง หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)  เมื่อรัฐบาลกระจายความเสี่ยงในเงินสำรอง พวกเขาไม่ได้ “ไล่ราคาทอง” แต่กำลัง “ซื้อประกันทางการเงิน” ต่างหาก  ดังนั้นการเรียกสถานการณ์นี้ว่า “วิกฤตราคาทองคำ” อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้ราคาจะดูเหมือนลดลงบนกราฟ แต่ความเป็นเจ้าของทองคำกำลังเปลี่ยนจากนักเทรดรายย่อยไปสู่คลังสมบัติของรัฐบาลอย่างเงียบๆ  จีนยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้ตลาดกำลังเทขาย  หากคุณสงสัยว่าทำไมราคาทองคำถึงร่วง ทั้งที่ความต้องการดูเหมือนยังสูงลิ่ว คำตอบอยู่ที่กระแสเงินระยะสั้น เพราะความต้องการจากจีนกำลังพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด  ข้อมูลจากตลาดทองเซี่ยงไฮ้ระบุว่า ใบรับประกันทองคำ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 86,565 กิโลกรัมในเดือนตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้นถึง 27 เท่าจากปี 2024 และสูงกว่า 550% ภายในปีนี้เพียงปีเดียว  นี่ไม่ใช่การเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นการที่ จีนกำลังสะสมสินทรัพย์จริง ท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก  ขนาดของอุปสงค์ในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่นักเทรดฝั่งตะวันตกทยอยหมุนเวียนเงินออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จีนกลับดูดซับอุปทานเหล่านั้นเข้าสู่การถือครองระยะยาว  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การร่วงของราคาทองคำในตอนนี้อาจเป็นเพียง การปรับฐานชั่วคราว สิ่งที่ดูเหมือน “ความอ่อนแอของราคา” อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของทองคำจากนักลงทุนต่างชาติไปสู่การถือครองของประเทศขนาดใหญ่แทน  การวิเคราะห์ทางเทคนิคของทองคำ: ทิศทางต่อไปคืออะไร  จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำเพิ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลใกล้ 4,300 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์การกลับตัวอย่างรวดเร็วนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักเทรด และกระตุ้นให้เกิดการขายแบบอัตโนมัติในวงกว้าง   อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดจำเป็นต้อง “พักหายใจ” แม้แต่เทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่งก็ต้องปรับฐานก่อนขึ้นต่อในรอบถัดไป  ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงยืนเหนือโซน 3,400–3,500 ดอลลาร์ โครงสร้างโดยรวมของตลาดยังคงแสดงถึงเสถียรภาพในระยะยาว  ความผันผวนลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ในทุกครั้งที่ราคาทองคำย่อตัวตั้งแต่ปี 2018 ไม่ว่าจะเป็นจากสงครามการค้า วิกฤตโรคระบาด หรือช็อกราคาในตลาด ทองคำมักสร้างฐานใหม่ก่อนดีดขึ้นอีกครั้ง  ด้วยเหตุนี้เอง นักวิเคราะห์ที่ติดตาม แนวโน้มราคาทองคำในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงยังไม่รีบประกาศว่ารอบตลาดขาขึ้นของทองคำได้สิ้นสุดลงแล้ว  บทบาทใหม่ของทองคำในระบบเศรษฐกิจโลก  เรื่องราวของทองคำในปี 2025 ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่เครื่องประดับหรือเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ความเชื่อมั่น หลักประกัน และการคงอยู่ทางการเงิน  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ราคาทองคำที่ปรับค่าเงินเฟ้อแล้วยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แม้ในช่วงภาวะถดถอย ทองคำก็มักทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่รักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน การลงทุนไม่เสื่อมค่าจากเงินเฟ้อ ที่แทบจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเภทในตลาดโลก  เมื่อกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ทองคำหนึ่งตันมีมูลค่าเท่าไร” แต่คือ “ทองคำหนึ่งตันสะท้อนความเชื่อมั่นมากแค่ไหน”  ตั้งแต่ ราคาทองคำในปี 1980 จนถึง การคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2030 ความจริงข้อหนึ่งยังคงเดิมเสมอ ทุกครั้งที่ระบบการเงินเกิดรอยร้าว ทองคำจะถูกประเมินมูลค่าใหม่ให้สูงขึ้นในเชิงมูลค่าที่แท้จริง  ราคาทองคำจะฟื้นตัวหรือไม่  คำตอบสั้นๆ คือ ทองคำไม่จำเป็นต้อง “ฟื้นตัว” เพราะสิ่งที่ต้องฟื้นคือโลกต่างหาก ทุกครั้งที่สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ทองคำจะกลายเป็นกระจกสะท้อนสภาวะนั้นโดยตรง  เมื่อสินทรัพย์กระดาษสั่นคลอน ทองคำจะเปล่งประกาย บางครั้งอย่างเงียบๆ และบางครั้งก็อย่างรุนแรง ดังนั้นคำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นหรือลง” แต่คือ “ทองคำกำลังส่งสัญญาณอะไรให้กับโลกในเวลานี้”  ไม่ว่าคุณจะจับตา การถือครองทองคำของจีน เงินสำรองของธนาคารกลาง หรือกระแสการไหลเวียนของทองคำในตลาดโลก รูปแบบที่เห็นคือสิ่งเดียวกัน เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน การสะสมทองคำก็เริ่มต้นขึ้น  ดังนั้น แม้ราคาทองคำบนกราฟอาจดูเหมือนกำลังร่วง แต่ภายใต้พื้นผิวนั้น รากฐานใหม่ของความเชื่อมั่นระดับโลกกำลังถูกสร้างขึ้นทีละแท่งทองคำ 

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน 

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

2025-08-28 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

ดอกเบี้ยขาลง กำลังมา ดูว่าทำไมทองคำอาจเตรียมเบรกทะลุระดับ $3,500 และทำไมนักเทรดจับตาเป้าหมาย $4,000 ในรอบนี้ 

article-thumbnail

2025-07-03 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง  และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน  แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน  ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญในตอนนี้  การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด  นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ  แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า?  ทองคำ vs บิตคอยน์: เปรียบเทียบแบบชัดๆ ในปี 2025  ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้  ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น  ทองคำ: เป้าหมายถัดไปอาจอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์จริงหรือ?  มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย  อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว […]

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2025-06-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน  และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป  สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล   สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล  เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย  และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ  ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว  หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง  น้ำมันจะพุ่งทะลุ $100 หรือไม่?  ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว  ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 […]

article-thumbnail

2025-06-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

โลหะเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 13 ปี: เป้าหมายต่อไป $50? 

ราคาทองคำขยับก่อน แต่ซิลเวอร์ขยับเร็ว  ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11.1% และตอนนี้กำลังซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี จนกลายเป็นที่จับตามองของตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดสายเก็งกำไร ทุกคนต่างจับตาดูระดับราคาที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงพีคของปี 2554  สิ่งที่นักเทรดอยากรู้คือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของการเบรกทะลุครั้งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? หรือแค่เป็นอีกหนึ่งรอบที่ราคาจะ ไปไม่สุดแล้วอ่อนตัวลง ที่แนวต้านอีกครั้ง?  ทำไมการพุ่งขึ้นของซิลเวอร์รอบนี้ถึงสำคัญ  ท่ามกลางกระแสข่าวครึกโครมของ AI และคริปโต ความแข็งแกร่งของซิลเวอร์กำลังบอกสัญญาณบางอย่างที่ลึกกว่านั้น  ในอดีต ซิลเวอร์เคยเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่า เช่นเดียวกับทองคำ เป็นโลหะที่มีการใช้ในอุตสาหกรรม และยังเป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อซิลเวอร์เคลื่อนไหว มันไม่ได้ขยับเบา ๆ  หากย้อนไปปี 2554 ราคาซิลเวอร์พุ่งจาก $35 ไปเกือบ $50 ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หรือคิดเป็นการขยับขึ้นกว่า 40% ในไม่ถึงสองเดือน เป็นรอบที่พุ่งแรงและรวดเร็วจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว และความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย  วันนี้เรากำลังเห็นรูปแบบที่คล้ายกันอีกครั้ง  และซิลเวอร์ก็กำลังตอบรับต่อสัญญาณนั้น  กราฟ 50 ปีที่เล่าเรื่องได้ในตัวเอง  กราฟด้านบนกำลังส่งสัญญาณเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่าราคาซิลเวอร์กำลังสร้างรูปแบบ “ถ้วยพร้อมหูจับ” ซึ่งมักเป็นสัญญาณขาขึ้นก่อนการเบรกทะลุครั้งใหญ่  […]

ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต? 

2025-01-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต? 

แนวโน้มในปี 2568 สำหรับทั้งทองคำและคริปโตที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้ทองคำและคริปโตมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

article-thumbnail

2023-09-07 | สารจาก D Prime

สมาชิก BRICS ใหม่จะท้าทายอำนาจของดอลลาร์ได้หรือไม่

สมาชิกกลุ่ม BRICS ดั้งเดิม ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ มีวิสัยทัศน์ร่วมกันเกี่ยวกับระเบียบโลกที่มีหลายขั้วมากขึ้น ซึ่งประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้นในระดับโลก  ประเทศในกลุ่ม BRICS เชื่อว่าระเบียบโลกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ทำให้ประเทศตะวันตกได้รับข้อได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม  แนวคิดเรื่องโลกหลายขั้วนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดสมาชิกใหม่เพิ่มเติมอีก 6 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เข้าร่วมแนวร่วม BRICS  เป้าหมายของกลุ่มประเทศ BRICS นั้นคือเพื่อท้าทายระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งเป็นระบบที่พวกเขามองว่ามีอคติอย่างมากและให้ผลประโยชน์เพียงกับมหาอำนาจตะวันตก อีกทั้ง เป้าหมายสำคัญคือเพื่อจัดการระเบียบโลกที่ไม่ผูกขาดอำนาจกับประเทศเพียงไม่กี่ประเทศ แต่เปลี่ยนให้ทุกประเทศมีสิทธิ เสียงและอิทธิพลในเวทีโลก  กลุ่มประเทศ BRICS และแนวคิดโลกหลายขั้วอำนาจถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนบางรายไม่ได้เชื่อเช่นนั้น  ในบทความนี้ เราจะศึกษาอิทธิพลที่สมาชิก BRICS ใหม่ ทั้ง 6 ประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนจำนวนมากมองข้าม และสุดท้าย และอภิปรายผลกระทบต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ และดุลอำนาจทั่วโลกอย่างไร  BRICS: วิสัยทัศน์ของแนวคิดโลกหลายขั้ว  […]

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

2025-08-28 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต? 

2025-01-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Load more...