ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

2025-07-03 | ทองคำ , บิทคอยน์ , ปริมาณเงิน M2 , พลวัตของตลาด , สินทรัพย์ปลอดภัย , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์ , เฟด

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง 

และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน 

แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน 

การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด 

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ 

แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า? 

ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ 

ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น 

มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย 

อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว แม้ว่าเบี้ยความเสี่ยงจากสงครามจะเริ่มลดลง แต่แนวโน้มของราคาทองคำก็ยังดูแข็งแกร่ง 

หากคุณลองดูปัจจัยทางเทคนิค จะเห็นว่าทองคำกำลังเข้าสู่ช่วงสะสมครั้งใหญ่เหนือระดับ 3,500 ดอลลาร์ รูปแบบนี้เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงปี 2011 ด้วยรูปแบบ “ถ้วยและด้ามจับ” ระยะยาว หากแพทเทิร์นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็มีโอกาสสูงที่ราคาทองจะทดสอบระดับ 4,000 ดอลลาร์ และอาจไปไกลกว่านั้น 

ทองคำยังถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงชั้นยอด ไม่มีความเสี่ยงจากเทคโนโลยี ไม่มีคู่สัญญา ไม่ต้องห่วงเรื่องการแฮก เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้และได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี 

แต่อย่าลืมว่า ทองคำก็มีข้อจำกัดเช่นกัน มันเคลื่อนไหวช้า ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย และการปรับขึ้นของราคาก็เกิดในรอบที่กินเวลานาน ซึ่งอาจเป็นบททดสอบของนักลงทุนที่ต้องใช้ความอดทนอย่างแท้จริง 

มาที่ฝั่งบิตคอยน์กันบ้าง 

ตอนนี้ราคาของ BTC แกว่งตัวอยู่ระหว่าง 100,000 ถึง 110,000 ดอลลาร์มาตลอดทั้งเดือน นักลงทุนสถาบันยังคงแห่เข้าลงทุนผ่าน ETF ขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับการสะสมบิตคอยน์ของทรัมป์ยิ่งช่วยเติมเชื้อไฟให้มากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ปริมาณเงิน M2 ยังบ่งชี้ว่าบิตคอยน์อาจมีช่องว่างให้พุ่งขึ้นต่อได้อีก ในอดีต ราคาบิตคอยน์มักเคลื่อนไหวตาม M2 ด้วยระยะเวลาเลื่อนประมาณ 12 สัปดาห์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มราคาอาจยังตามหลังสภาพคล่องทั่วโลกอยู่ 

อย่าลืมว่า บิตคอยน์มีจุดแข็งที่ทองคำไม่มี นั่นคือ “พลังระเบิดทางราคา” ย้อนกลับไปในปี 2011 ราคาซิลเวอร์เคยพุ่งจาก 35 ดอลลาร์ไปถึง 50 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ และบิตคอยน์สามารถทำแบบนั้นได้เร็วกว่า ด้วยปัจจัยกระตุ้นที่น้อยกว่ามาก 

บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ไร้พรมแดน และมีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมในยุคที่รัฐบาลต่างพิมพ์เงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจ บิตคอยน์กลับยิ่งได้รับความนิยมจากนักลงทุนหน้าใหม่ 

แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า บิตคอยน์มีความผันผวนสูง การเหวี่ยงขึ้นลงเป็นตัวเลขสองหลักในวันเดียวถือเป็นเรื่องปกติ การลงทุนในบิตคอยน์จึงไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่ยังต้องอาศัยการเติบโตของการยอมรับ เทคโนโลยี และความชัดเจนด้านกฎระเบียบ มันไม่ใช่สินทรัพย์คลาสสิกแบบทองคำ แต่เปรียบได้กับ “รถสปอร์ตสมรรถนะสูง” ที่แรง เร็ว และท้าทาย 

แล้วใครคือผู้ชนะ? 

คำตอบขึ้นอยู่กับกรอบเวลาและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ 

  • ทองคำ เคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง และยังคงเชื่อถือได้อย่างมาก มักจะเริ่มขยับในช่วงท้ายของรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ เมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงอย่างรุนแรง หรือเมื่อค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนตัว เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสบายใจ มีประวัติให้ย้อนดูยาวนาน และไม่อยากเจอความผันผวนรุนแรง 
  • บิตคอยน์ เหมาะกับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่า มันได้รับแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากสภาพคล่องทั่วโลก ซึ่งหากเฟดลดดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ก็อาจผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ทำสถิติใหม่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ 

แนวทางที่ฉลาดกว่านั้น? หลายคนเลือกผสมทั้งสองแบบ โดยจัดพอร์ตบางส่วนไว้ที่ทองคำเพื่อเป็นหลักประกัน และอีกส่วนลงทุนในบิตคอยน์เพื่อโอกาสการเติบโต เมื่อรวมกันแล้ว พอร์ตแบบนี้สามารถเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงยุคใหม่ได้ ทั้งจากการกดดันทางการเงินและเงินเฟ้อ 

1. ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed): 
หากพาวเวลล์เริ่มลดดอกเบี้ย ทั้งทองคำและบิตคอยน์อาจพุ่งขึ้นพร้อมกัน ดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว และทำให้สินทรัพย์ทางเลือกน่าสนใจยิ่งขึ้น 

2. ข้อมูลเงินเฟ้อ: 
หากราคาน้ำมันพุ่งอีกครั้ง หรือมาตรการภาษียังไม่ถูกยกเลิก อัตราเงินเฟ้ออาจยังสูงอยู่ และกดดันให้เฟดคงดอกเบี้ย ซึ่งมักส่งผลดีต่อราคาทองคำโดยตรง 

3. กระแสเงินจากสถาบัน: 
การเปิดตัว Bitcoin ETF แบบ Spot เพิ่มขึ้น กองทุนความมั่งคั่งของรัฐเข้าลงทุนใน BTC หรือธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำ ล้วนสามารถสร้างแรงผลักดันรอบใหม่ให้กับตลาด 

4. เทคโนโลยี vs. ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลก: 
บิตคอยน์ต้องการการยอมรับทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทองคำต้องการเพียงแค่ให้ภาระหนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มสูงมาก โดยล่าสุดหนี้ทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดกว่า 324 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว 

ทองคำกับบิตคอยน์ไม่ใช่ศัตรูกัน พวกมันคือ “เพื่อนร่วมทีม” ในพอร์ตการลงทุนที่ต้องการปกป้องตัวเองจากระบบเศรษฐกิจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้และสภาพคล่อง 

ในตอนนี้ เมื่อความเสี่ยงจากสงครามเริ่มจางหาย และความสนใจหันไปที่นโยบายของธนาคารกลาง สินทรัพย์ทั้งสองอาจ “เปล่งประกาย” พร้อมกัน คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ว่าคุณควรเลือกทองคำหรือบิตคอยน์ แต่คือ “ควรมีแต่ละอย่างในสัดส่วนเท่าไหร่” จึงจะเหมาะกับกลยุทธ์ของคุณที่สุด 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-24 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

หุ้น AI แพงเกินไปแล้วหรือเพิ่งเริ่มต้นกันแน่? 

หุ้น AI กลายเป็นเป้าหมายหลักของตลาดมานานกว่าหนึ่งปี  จากการที่ Nvidia ทำสถิติแตะมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึงการประกาศด้าน AI ครั้งใหญ่ของ Tesla ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด นักลงทุนบน Wall Street ดูเหมือนจะยังไม่อิ่มตัว แม้แต่หุ้นอย่าง AMD และ IBM ที่เคยตามหลัง ก็ยังได้อานิสงส์จากกระแสนี้เช่นกัน  แต่คำถามที่นักลงทุนมือโปรเริ่มถามคือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของยุค AI จริงๆ หรือเรากำลังเผชิญฟองสบู่แบบยุคดอทคอมอีกครั้ง?  เมื่อเรื่องราวในตลาดดังเกินไป และราคาขยับขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกแยะระหว่างความจริงกับกระแส  มาลองเจาะดูทั้งมุมมองฝั่งกระทิง ความกังวลเรื่องฟองสบู่ และสัญญาณที่นักเทรดทุกคนควรจับตาในตอนนี้  กระแสหุ้น AI ไม่ใช่เรื่องหลอก ต้องชัดเจนก่อนว่านี่ไม่ใช่ฟองสบู่แบบมีม AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่าเพื่อปั่นหุ้น เงินก้อนจริงๆ กำลังไหลเข้าสู่ตลาด  บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์กับชิป ศูนย์ข้อมูล และจ้างวิศวกรกันเหมือนย้อนกลับไปปี 1999 แค่ Nvidia เพียงรายเดียวก็ทำรายได้จากศูนย์ข้อมูลกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา โตสามหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน  นี่คือความต้องการที่มีอยู่จริง Microsoft กำลังปล่อย […]

article-thumbnail

2025-07-17 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังพุ่งขึ้น และอะไรคือปัจจัยเบื้องหลัง 

บิตคอยน์ ทำสถิติใหม่อีกครั้ง พุ่งทะลุ 123,000 ดอลลาร์ ดึงเหล่านักเทรดให้กลับเข้าสู่โหมดเสี่ยงเต็มพิกัด แต่คำถามคือ นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งรอบของกระแสเก็งกำไร หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างแล้วจริงๆ?  ถ้ามองลึกลงไป จะเห็นว่ามีพลังขับเคลื่อนสำคัญสองอย่างที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งหลายคนยังไม่ทันเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน  สิ่งแรกกำลังคลี่คลายอยู่ในวอชิงตัน ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในระบบการเงินโลก โดยส่งสัญญาณล่วงหน้าแบบเดียวกับที่เคยหนุนให้บิตคอยน์พุ่งแรงมาแล้วหลายรอบ  และเมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังไต่ระดับขึ้น และทำไมรอบนี้อาจไม่ใช่แค่การพุ่งขึ้นชั่วคราวเหมือนที่ผ่านมา  กฎหมายคริปโตฉบับใหม่เปลี่ยนเกมทั้งกระดาน  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนบิตคอยน์ต้องเผชิญกับคำถามคาใจหนึ่งที่ยังไร้คำตอบจากฝั่งอเมริกา: สหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับคริปโตแค่ไหนกันแน่?  ตั้งแต่กรณีที่ SEC ไล่จัดการกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่างๆ ไปจนถึงการถกเถียงว่า ETH หรือ stablecoin ควรถูกจัดเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และการขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง ทำให้เงินทุนจากสถาบันส่วนใหญ่มักเลือกอยู่เฉยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรกำลังผลักดันกฎหมายคริปโตชุดใหญ่หลายฉบับ โดยเฉพาะร่างกฎหมาย Financial Innovation and Technology for the 21st Century Act ที่ถูกออกแบบมาเพื่อระบุให้ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ดูแลอะไร มอบอำนาจกำกับดูแลบิตคอยน์และคริปโตประเภทอื่นให้กับ CFTC มากขึ้น พร้อมทั้งวางกรอบการขอใบอนุญาตระดับชาติให้กับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและ stablecoin อย่างเป็นทางการ  ทำไมบิตคอยน์ถึงชอบร่างกฎหมายคริปโต  บิตคอยน์ไม่ได้พุ่งขึ้นเพราะมีร่างกฎหมายบางฉบับที่อาจจะผ่าน […]

article-thumbnail

2025-07-14 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

พรรคอเมริกาของ Musk ส่งสัญญาณบวกหรือลบต่อหุ้น TSLA? 

อีลอน มัสก์ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องจรวดหรือหุ่นยนต์แท็กซี่ แต่เป็นการเปิดตัวขบวนการทางการเมืองของเขาเองในชื่อว่า “พรรคอเมริกา”  ในมุมแรกอาจดูเหมือนโปรเจกต์ส่วนตัวแปลกๆ ของมหาเศรษฐีอีกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตให้ดี มันอาจกลายเป็นหมากตัวใหม่ที่ส่งผลต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเป็นแรงหนุนต่อหุ้น Tesla (TSLA) ในแบบที่นักลงทุน Wall Street หลายคนยังมองไม่เห็น  พรรคอเมริกาคืออะไร?  แล้วจริงๆ พรรคอเมริกาคืออะไร? และทำไมมัสก์ถึงสร้างมันขึ้นมา?  พูดง่ายๆ นี่คือคำตอบของอีลอน มัสก์ต่อระบบที่เขามองว่า “ล้มเหลว” พรรคอเมริกาเป็นขบวนการทางการเมืองใหม่ ที่ตั้งใจมาท้าทายระบบการผูกขาดของสองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ มัสก์ระบุว่า พรรคนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการพูด เปิดพื้นที่ให้การถกเถียงทางการเมืองกว้างขึ้น และอาจมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านภาษีและกฎระเบียบที่กระทบต่อธุรกิจของเขาโดยตรง  ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกินตัว โค้ดภาษีที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎระเบียบที่ขัดขวางเทคโนโลยีใหม่ๆ มัสก์ต้องการลุกขึ้นมาท้าทายทั้งหมดนี้ และสร้างระบบที่ให้ “ไอเดียที่ดีที่สุด” ชนะ ไม่ใช่ “คนที่วิ่งล็อบบี้เก่งที่สุด”  แต่มันยังมีอีกชั้นหนึ่ง พรรคอเมริกาดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ตอบโต้ของมัสก์ต่อภัยคุกคามอย่างข้อเสนอของทรัมป์ในการเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อโรงงาน Tesla ในเบอร์ลิน การมีพรรคการเมืองของตัวเอง ทำให้มัสก์ไม่ได้แค่ตั้งรับ แต่รุกกลับเต็มที่ ตั้งเป้าสร้างบทสนทนาใหม่ในสังคม และผลักดันนโยบายที่จะทำให้สหรัฐฯ แข่งขันได้ในเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง  พูดให้เข้าใจง่ายๆ: พรรคอเมริกาคือวิธีของมัสก์ในการ […]