ดอลลาร์IconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป 

article-thumbnail

2024-05-16 | สารจาก D Prime

Stagflation คืออะไร เราจะเผชิญกับภาวะนี้อีกครั้งหรือไม่

ในการอภิปรายทางเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆ นี้ คำว่า “stagflation” ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจุดประกายให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดที่ผ่านมา แม้ว่ารายงานและข้อมูล GDP จะแสดงถึงสัญญาณ Stagflation นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่าว่าภาวะ Stagflation เกี่ยวข้องกับอะไร รวมถึงข้อมูลในอดีต และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบัน  Stagflation คืออะไร?  Stagflation คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะการเติบโตที่ซบเซา การว่างงานสูง และมาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงด้วย  คำว่า “Stagflation” เป็นคำผสมระหว่าง “การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation)” และ “เงินเฟ้อ (Inflation)” ซึ่งเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างมาก  การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation): การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา ธุรกิจมีอัตราการผลิตที่ลดลง และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง  เงินเฟ้อ (Inflation): ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพแพงขึ้น  ความท้าทายของ Stagflation  การผสมผสานระหว่างการเติบโตที่ช้าและอัตราเงินเฟ้อที่สูงนี้ทำให้เกิดความท้าทายเฉพาะต่อผู้กำหนดนโยบาย โดยปกติแล้ว นโยบายในการแก้ไขปัญหาจุดหนึ่งอาจทำให้อีกปัญหาแย่ลงได้ ตัวอย่างเช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับอัตราการเติบโตที่ช้าอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจได้  จุดที่น่าสังเกตคือภาวะเงินเฟ้อนั้นสามารถท้าทายโมเดลทางเศรษฐกิจแบบเดิมๆได้ เช่น เส้น Phillips ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการว่างงานที่ลดลงกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ […]

article-thumbnail

2023-10-06 | สารจาก D Prime

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น สัญญาณเตือนต่อเศรษฐกิจโลก

ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าพร้อมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่ข่าวที่ดีนักกับเศรษฐกิจโลก  ในช่วงนี้ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาก โดยแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและสกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งทำให้นักลงทุนบางรายกังวลว่าจะเกิดวิกฤติการเงินในปี 2008 อีกครั้งหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่นักลงทุนอย่างเราไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงสถานะปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อีกทั้งยังสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกด้วย  ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า วิเคราะห์ผลกระทบของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น และอภิปรายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก  ดอลลาร์สหรัฐหรือยูโรจะถูกลดบทบาทและอำนาจลงหรือไม่  จากข้อมูลการชำระเงินระหว่างประเทศของ SWIFT เราจะเห็นได้ว่ายูโรถูดลดอำนาจในการชำระเงินทั่วโลกลง ซึ่งไม่ได้เกิดกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ   ส่วนแบ่งของเงินยูโรในการชำระเงิน SWIFT ทั่วโลกลดลงจาก 38% เมื่อต้นปีเป็น 23% ในเดือนสิงหาคม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า SPFS ของรัสเซีย (ระบบสำหรับการโอนข้อความทางการเงิน) และ CIPS ของจีน (ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน) อาจกินส่วนแบ่งการตลาดของเงินยูโร ในทางกลับกัน ส่วนแบ่งการชำระเงิน SWIFT ของจีนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.47% ในเดือนสิงหาคม  นอกจากนี้ยังมีเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งของดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนั้นด้วย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ที่ลดลงนั้น เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นผู้ครองไปแทน อาจเป็นเพราะขณะนี้ยุโรปชำระค่าน้ำมันดิบและก๊าซเป็นดอลลาร์สหรัฐแทนเงินยูโร  เนื่องจากน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 25% ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แรงกดดันจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อ่านบทความของเราเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นในเร็วๆ นี้ น้ำมันพุ่งขึ้น […]

article-thumbnail

2023-09-07 | สารจาก D Prime

สมาชิก BRICS ใหม่จะท้าทายอำนาจของดอลลาร์ได้หรือไม่

สมาชิกกลุ่ม BRICS ดั้งเดิม ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ มีวิสัยทัศน์ร่วมกันเกี่ยวกับระเบียบโลกที่มีหลายขั้วมากขึ้น ซึ่งประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้นในระดับโลก  ประเทศในกลุ่ม BRICS เชื่อว่าระเบียบโลกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ทำให้ประเทศตะวันตกได้รับข้อได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม  แนวคิดเรื่องโลกหลายขั้วนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดสมาชิกใหม่เพิ่มเติมอีก 6 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เข้าร่วมแนวร่วม BRICS  เป้าหมายของกลุ่มประเทศ BRICS นั้นคือเพื่อท้าทายระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งเป็นระบบที่พวกเขามองว่ามีอคติอย่างมากและให้ผลประโยชน์เพียงกับมหาอำนาจตะวันตก อีกทั้ง เป้าหมายสำคัญคือเพื่อจัดการระเบียบโลกที่ไม่ผูกขาดอำนาจกับประเทศเพียงไม่กี่ประเทศ แต่เปลี่ยนให้ทุกประเทศมีสิทธิ เสียงและอิทธิพลในเวทีโลก  กลุ่มประเทศ BRICS และแนวคิดโลกหลายขั้วอำนาจถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนบางรายไม่ได้เชื่อเช่นนั้น  ในบทความนี้ เราจะศึกษาอิทธิพลที่สมาชิก BRICS ใหม่ ทั้ง 6 ประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนจำนวนมากมองข้าม และสุดท้าย และอภิปรายผลกระทบต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ และดุลอำนาจทั่วโลกอย่างไร  BRICS: วิสัยทัศน์ของแนวคิดโลกหลายขั้ว  […]