Stagflation คืออะไร เราจะเผชิญกับภาวะนี้อีกครั้งหรือไม่

2024-05-16 | Stagflation , ดอลลาร์ , ทอง , น้ำมัน , ภาวะเงินเฟ้อ , เศรษฐกิจ

ในการอภิปรายทางเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆ นี้ คำว่า “stagflation” ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจุดประกายให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดที่ผ่านมา แม้ว่ารายงานและข้อมูล GDP จะแสดงถึงสัญญาณ Stagflation นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่าว่าภาวะ Stagflation เกี่ยวข้องกับอะไร รวมถึงข้อมูลในอดีต และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบัน 

Stagflation คืออะไร? 

Stagflation คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะการเติบโตที่ซบเซา การว่างงานสูง และมาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงด้วย 

คำว่า “Stagflation” เป็นคำผสมระหว่าง “การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation)” และ “เงินเฟ้อ (Inflation)” ซึ่งเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างมาก 

การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation): การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา ธุรกิจมีอัตราการผลิตที่ลดลง และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 

เงินเฟ้อ (Inflation): ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพแพงขึ้น 

ความท้าทายของ Stagflation 

การผสมผสานระหว่างการเติบโตที่ช้าและอัตราเงินเฟ้อที่สูงนี้ทำให้เกิดความท้าทายเฉพาะต่อผู้กำหนดนโยบาย โดยปกติแล้ว นโยบายในการแก้ไขปัญหาจุดหนึ่งอาจทำให้อีกปัญหาแย่ลงได้ ตัวอย่างเช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับอัตราการเติบโตที่ช้าอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจได้ 

จุดที่น่าสังเกตคือภาวะเงินเฟ้อนั้นสามารถท้าทายโมเดลทางเศรษฐกิจแบบเดิมๆได้ เช่น เส้น Phillips ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการว่างงานที่ลดลงกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ตามทฤษฎีคลาสสิก เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง การว่างงานควรที่จะต่ำ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างอัตราเงินเฟ้อกับการว่างงาน ทำให้ธนาคารกลางจัดการกับปัญหาโดยการปรับอัตราดอกเบี้ย 

อย่างไรก็ตาม stagflation ได้ท้าทายตรรกะนี้ ซึ่งนำเสนอสถานการณ์ที่ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดความขัดแย้งในนโยบาย สิ่งนี้บังคับให้นายธนาคารกลางและผู้กำหนดนโยบายต้องคิดค้นวิธีแก้ปัญหาใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา 

ต้นกำเนิดของ Stagflation 

คำว่า “stagflation” ได้รับการบัญญัติขึ้นครั้งแรกโดยนักการเมืองชาวอังกฤษ เอียน นอร์แมน แมคคลาวด์ ในระหว่างการปราศรัยต่อหน้าสภาสามัญชนในปี 1965 ท่ามกลางความเครียดทางเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร Macleod เรียกผลกระทบที่รวมกันของอัตราเงินเฟ้อและความซบเซาว่าเป็นสถานการณ์ “stagflation” ช่วงเวลาสำคัญนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์ทุกๆคนจะต้องรู้จัก 

“ตอนนี้เรามีสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของทั้งสองโลก ไม่ใช่แค่ภาวะเงินเฟ้อด้านหนึ่งหรือความซบเซาในอีกด้านหนึ่ง แต่ทั้งสองอย่างรวมกัน เราจึงมีสถานการณ์ “stagflation” (รัฐสภาสหราชอาณาจักร ค.ศ. 1965) 

เมื่อนักเศรษฐศาสตร์คิดว่าเป็นไปไม่ได้ Stagflation ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศที่พัฒนาแล้วนับตั้งแต่วิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970 

ตัวอย่างในอดีต 

เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูช่วงเวลา Stagflation ในอดีต เช่น Stagflation ในช่วงทศวรรษ 1970 ช่วงนั้นเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสภาวะ Stagflation โดยมี “3 คลื่น” ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละคลื่นมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง การวิเคราะห์คลื่นในอดีตเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ดังที่แสดงในกราฟต่อไปนี้ 

กราฟได้แสดงให้เห็นถึง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 เราสังเกตเห็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในแต่ละระลอกของคลื่น ควบคู่ไปกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือกราฟแสดงให้เห็นถึงความแปรผันของระยะเวลาของคลื่นเหล่านี้ คลื่นลูกแรกมีระยะเวลาประมาณ 2.2 ปี ในขณะที่คลื่นลูกที่สองชะลอตัวลงเป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปี แต่ในทางตรงกันข้าม คลื่นลูกที่สามขยายออกไปเป็น 2.4 ปี 

เราใกล้จะพบกับภาวะ Stagflation ในปี 2024 แล้วหรือยัง? 

จากการวิเคราะห์คลื่นของเงินเฟ้อและดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐอเมริกา เราพบว่าขณะนี้กำลังใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของคลื่นเงินเฟ้อระลอกแรกแล้ว นี่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเคลื่อนไหวต่อไป โดยมีความกังวลเกี่ยวกับการมาของระลอกสองที่อาจเกิดขึ้นได้ 

ปัจจุบันบรรยากาศทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและการเติบโตที่ชะลอตัว แต่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ ก็ได้มองข้ามความกังวลเรื่องภาวะ Stagflation แม้จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เท่าเดิมก็ตาม 

เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 4% กับภาวะ Stagflation แบบคลาสสิกในทศวรรษ 1970 “ผมไม่เห็นโอกาสของ Stagflation” เขาได้กล่าวไว้ 

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อความคิดนี้ ซึ่งเน้นไปที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่กำลังฟื้นตัวและข้อมูลที่บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ อ่อนตัวลง โดยเน้นถึงความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและทศวรรษ 1970 เพราะมีสาเหตุมาจากภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ สหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง และมาตรการการควบคุมราคาที่ถูกยกเลิก 

การวิเคราะห์จาก Bank of America 

เพื่อสนับสนุนมุมมองนี้ นักวิเคราะห์ของ Bank of America ยืนยันว่าข้อมูลล่าสุดไม่ควรตีความว่าเป็นภาวะ Stagflation พวกเขาชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP ที่ต่ำกว่าที่คาดอาจเกิดจากปัจจัยทางด้านบัญชี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE ที่ออกมาแข็งแกร่งสะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่แยกจากกัน ไม่จำเป็นต้องบ่งบอกถึงภาวะ Stagflation  

ผลกระทบของ Stagflation ต่อประเภทสินทรัพย์ 

ในขณะที่การถกเถียงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะ Stagflation ยังคงดำเนินต่อไป ก่อนอื่นเรามาเจาะลึกว่าช่วง Stagflation ในอดีต เช่น ทศวรรษ 1970 ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างไร โดยเฉพาะทองคำ น้ำมัน ดอลลาร์สหรัฐ และหุ้น 

ข้อมูลนี้จะทำหน้าที่เป็นข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับแนวโน้มและกลยุทธ์ที่อาจจะสามารถใช้ได้ในอนาคต 

น้ำมัน: ตลาดที่ผันผวน 

ในช่วงภาวะ Stagflation ในทศวรรษ 1970 ราคาน้ำมันมีความผันผวนอย่างมาก โดยพุ่งสูงขึ้นกว่า 1,000% วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1973 เกิดจากการที่โอเปกสั่งห้ามการผลิตและส่งออกน้ำมันอย่างจำกัดจากประเทศกลุ่มโอเปก ทำให้เกิดภาวะ Supply shock อย่างมีนัยสำคัญ และเป็นผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วนี้ยังคงมีอยู่ โดยถทำจุดสูงสุดระหว่างปี 1980 ถึง 1981 ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทั่วโลก 

ทองคำ: สินทรัพย์หลบภัยท่ามกลางความไม่แน่นอน 

ทองคำกลายเป็นแหล่งหลบภัยในยุคเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้รับความปลอดภัยจากทั้งภาวะเงินเฟ้อและการลดค่าเงิน ตั้งแต่ปี 1971 ถึง 1980 ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นกว่า 2,000% ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของทองคำที่เป็นแหล่งสะสมมูลค่าที่เชื่อถือได้ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ 

ดอลลาร์สหรัฐ: ความเสื่อมในมูลค่า 

ตรงกันข้ามกับทองคำ เงินดอลลาร์สหรัฐมีการอ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงภาวะ Stagflation ในช่วงทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐสูญเสียมูลค่าไปมากกว่า 30% สะท้อนถึงแรงซื้อที่ลดลงท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ลุกลามและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ 

หุ้น: ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน 

ผลประกอบการของตลาดหุ้นในช่วงปี 1970 อยู่ในช่วงภาวะ Stagflation โดยรวมแล้ว หุ้นมีการเติบโตที่ซบเซาเพราะไม่มีแนวโน้มทิศทางที่ชัดเจน การรวมกันของอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้เกิดภาวะซบเซาในตลาดหุ้น 

การลงทุนในสภาวะ Stagflation

การทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีพฤติกรรมอย่างไรในช่วงที่เกิดภาวะ Stagflation ในอดีตสามารถให้คำแนะนำที่สำคัญต่อกลยุทธ์การลงทุนของคุณได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าประสิทธิภาพในอดีตไม่ได้รับประกันผลลัพธ์ในอนาคต ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรหาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงิน 


การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง          

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย          

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง      

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย          

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป