100 วันแรกของทรัมป์: ภาษีนำเข้ากระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ 

2025-05-07 | ทรัมป์ 100 วันแรก , ผลกระทบภาษีศุลกากรของทรัมป์ , แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025

ผ่านมาเพียงเล็กน้อยกว่า 100 วันหลังทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ตลาดก็เริ่มรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว 

ตั้งแต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไปจนถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและคาดการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มาตรการเริ่มต้นของรัฐบาลทรัมป์กำลังวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจสหรัฐในเฟสถัดไป 

ในบทความนี้ เราจะถอดรหัสสัญญาณจริงจากตลาด ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าว ตั้งแต่ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ไปจนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการว่างงาน 

และนี่คือสิ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรจับตาต่อจากนี้ 

สัญญาณชัดเจนจาก 100 วันแรกของทรัมป์คืออะไร? ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 

ลองดูกราฟนี้จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน: 

หลังจากทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความคาดหวังเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นทันที แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 แม้จะมีการประกาศชะลอการขึ้นภาษีบางส่วนในวันที่ 9 เมษายน แต่ระดับความคาดหวังยังคงสูง แสดงให้เห็นว่าเมื่อความกังวลเงินเฟ้อเริ่มฝังรากแล้ว มันไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน 

ประเด็นสำคัญ: 
แม้การขึ้นภาษีจะเริ่มชะลอลง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นด้านเงินเฟ้อก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างก็เริ่มเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้น 

ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัว ซีอีโอก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน 

ลองดูดัชนีความเชื่อมั่นของซีอีโอ (CEO Confidence Index) ซึ่งสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจต่อเศรษฐกิจในอีกหนึ่งปีข้างหน้า 

สังเกตได้ว่าค่าดัชนีล่าสุดร่วงลงแรงจนใกล้ระดับ 5 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดของทศวรรษ ประเด็นนี้สำคัญ เพราะซีอีโอเป็นผู้กำหนดทิศทางการจ้างงาน การลงทุน และการขยายธุรกิจ ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลดลง ก็มักจะเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ 

ทำไมนักเทรดควรใส่ใจประเด็นนี้? 
เพราะความเชื่อมั่นของซีอีโอที่ลดลง มักนำไปสู่การคาดการณ์ผลประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น และการใช้จ่ายลงทุนที่น้อยลง ซึ่งท้ายที่สุดอาจทำให้การจ้างงานชะลอตัว และกดดันตลาดหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการลงทุนจากภาคธุรกิจ 

อีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่เริ่มชัดเจนขึ้น: ชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นคาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า 

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ความคาดหวังว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแตะระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกช่วงปี 2551–2552 

ในอดีต การพุ่งขึ้นของตัวเลขแบบนี้มักเป็นสัญญาณล่วงหน้าของความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ บางครั้งนำไปสู่ภาวะถดถอย และบางครั้งก็เป็นช่วงชะลอตัวอย่างรุนแรง 

เชื่อมโยงภาพรวม: 

  • ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ 
  • ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจกำลังลดลง 
  • และแรงงานก็เริ่มเตรียมใจรับความเสี่ยงจากการตกงาน 

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สูตรของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ราบรื่นนัก 

คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่สำคัญมาก: ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 

มาตรการช่วงต้นของทรัมป์ โดยเฉพาะเรื่องภาษีและการค้า ได้จุดกระแสความกังวลเดิมของตลาดให้กลับมาอีกครั้ง 

  • ภาษีที่สูงขึ้น = ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น = ส่งต่อภาระให้ผู้บริโภค = เงินเฟ้อ 
  • สงครามการค้า = กำไรบริษัทลดลง + การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 
  • การลดกฎเกณฑ์และข้อเสนอภาษีเชิงรุกอาจสร้างความตื่นเต้นในระยะสั้น แต่ก็ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องเสถียรภาพในระยะกลาง 

ตลาดไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ชอบความไม่แน่นอน และช่วง 100 วันแรกของทรัมป์ก็ได้เพิ่มความไม่แน่นอนเข้าไปในสมการเศรษฐกิจอย่างชัดเจน 

ในสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ ไม่ใช่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน จากสัญญาณปัจจุบัน: 

  • ตสาหกรรมและวัสดุ: อ่อนไหวต่อภาษีนำเข้าและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกสูง คาดว่าจะมีความผันผวนมาก 
  • เทคโนโลยี: พื้นฐานยังแข็งแรง แต่ต้องระวังแรงกดดันหากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยขยายวง 
  • สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน: มักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดในช่วงชะลอตัว เพราะนักลงทุนมองหาแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย 
  • การเงิน: ขึ้นอยู่กับนโยบายของเฟด หากคาดการณ์เศรษฐกิจเริ่มลดลง ความคาดหวังในการขึ้นดอกเบี้ยก็จะลดลงตาม และกดดันหุ้นกลุ่มนี้ 

อย่าลืมว่าแต่ละเซกเตอร์ไม่ได้เคลื่อนไหวแยกจากกัน แต่เคลื่อนไหวตามแรงกดดันมหภาค และตอนนี้ทิศทางเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนไป 

คาดหวังอะไรต่อจากนี้? 

ช่วง 100 วันแรกของทรัมป์ยิ่งซ้ำเติมความกังวลเดิมเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนด้านการค้า และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต 

กราฟต่าง ๆ สะท้อนภาพรวมได้อย่างชัดเจน: 

  • ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อยังคงสูงอย่างเหนียวแน่น 
  • ผู้นำธุรกิจเริ่มระมัดระวังมากขึ้น 
  • แรงงานจำนวนมากคาดว่าเวลาที่ยากลำบากกำลังจะมาถึง 

ความกังวลเหล่านี้จะลุกลามกลายเป็นภาวะถดถอยจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับก้าวต่อไปของทรัมป์ เฟด และพฤติกรรมของผู้บริโภคเอง 

สำหรับนักเทรดและนักลงทุน แผนที่ทางเดินชัดเจนแล้วว่า: 

  • ต้องมีความยืดหยุ่น 
  • โฟกัสที่ข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่กระแสข่าว 
  • และอย่าลืมว่า เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โอกาสก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มตามไปด้วย 

“ตลาดขับเคลื่อนด้วยความกลัวและความโลภเคล็ดลับคืออย่าไปติดอยู่ตรงจุดสุดโต่งของทั้งสองด้าน” 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-24 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

หุ้น AI แพงเกินไปแล้วหรือเพิ่งเริ่มต้นกันแน่? 

หุ้น AI กลายเป็นเป้าหมายหลักของตลาดมานานกว่าหนึ่งปี  จากการที่ Nvidia ทำสถิติแตะมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึงการประกาศด้าน AI ครั้งใหญ่ของ Tesla ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด นักลงทุนบน Wall Street ดูเหมือนจะยังไม่อิ่มตัว แม้แต่หุ้นอย่าง AMD และ IBM ที่เคยตามหลัง ก็ยังได้อานิสงส์จากกระแสนี้เช่นกัน  แต่คำถามที่นักลงทุนมือโปรเริ่มถามคือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของยุค AI จริงๆ หรือเรากำลังเผชิญฟองสบู่แบบยุคดอทคอมอีกครั้ง?  เมื่อเรื่องราวในตลาดดังเกินไป และราคาขยับขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกแยะระหว่างความจริงกับกระแส  มาลองเจาะดูทั้งมุมมองฝั่งกระทิง ความกังวลเรื่องฟองสบู่ และสัญญาณที่นักเทรดทุกคนควรจับตาในตอนนี้  กระแสหุ้น AI ไม่ใช่เรื่องหลอก ต้องชัดเจนก่อนว่านี่ไม่ใช่ฟองสบู่แบบมีม AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่าเพื่อปั่นหุ้น เงินก้อนจริงๆ กำลังไหลเข้าสู่ตลาด  บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์กับชิป ศูนย์ข้อมูล และจ้างวิศวกรกันเหมือนย้อนกลับไปปี 1999 แค่ Nvidia เพียงรายเดียวก็ทำรายได้จากศูนย์ข้อมูลกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา โตสามหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน  นี่คือความต้องการที่มีอยู่จริง Microsoft กำลังปล่อย […]

article-thumbnail

2025-07-17 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังพุ่งขึ้น และอะไรคือปัจจัยเบื้องหลัง 

บิตคอยน์ ทำสถิติใหม่อีกครั้ง พุ่งทะลุ 123,000 ดอลลาร์ ดึงเหล่านักเทรดให้กลับเข้าสู่โหมดเสี่ยงเต็มพิกัด แต่คำถามคือ นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งรอบของกระแสเก็งกำไร หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างแล้วจริงๆ?  ถ้ามองลึกลงไป จะเห็นว่ามีพลังขับเคลื่อนสำคัญสองอย่างที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งหลายคนยังไม่ทันเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน  สิ่งแรกกำลังคลี่คลายอยู่ในวอชิงตัน ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในระบบการเงินโลก โดยส่งสัญญาณล่วงหน้าแบบเดียวกับที่เคยหนุนให้บิตคอยน์พุ่งแรงมาแล้วหลายรอบ  และเมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังไต่ระดับขึ้น และทำไมรอบนี้อาจไม่ใช่แค่การพุ่งขึ้นชั่วคราวเหมือนที่ผ่านมา  กฎหมายคริปโตฉบับใหม่เปลี่ยนเกมทั้งกระดาน  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนบิตคอยน์ต้องเผชิญกับคำถามคาใจหนึ่งที่ยังไร้คำตอบจากฝั่งอเมริกา: สหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับคริปโตแค่ไหนกันแน่?  ตั้งแต่กรณีที่ SEC ไล่จัดการกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่างๆ ไปจนถึงการถกเถียงว่า ETH หรือ stablecoin ควรถูกจัดเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และการขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง ทำให้เงินทุนจากสถาบันส่วนใหญ่มักเลือกอยู่เฉยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรกำลังผลักดันกฎหมายคริปโตชุดใหญ่หลายฉบับ โดยเฉพาะร่างกฎหมาย Financial Innovation and Technology for the 21st Century Act ที่ถูกออกแบบมาเพื่อระบุให้ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ดูแลอะไร มอบอำนาจกำกับดูแลบิตคอยน์และคริปโตประเภทอื่นให้กับ CFTC มากขึ้น พร้อมทั้งวางกรอบการขอใบอนุญาตระดับชาติให้กับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและ stablecoin อย่างเป็นทางการ  ทำไมบิตคอยน์ถึงชอบร่างกฎหมายคริปโต  บิตคอยน์ไม่ได้พุ่งขึ้นเพราะมีร่างกฎหมายบางฉบับที่อาจจะผ่าน […]

article-thumbnail

2025-07-14 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

พรรคอเมริกาของ Musk ส่งสัญญาณบวกหรือลบต่อหุ้น TSLA? 

อีลอน มัสก์ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องจรวดหรือหุ่นยนต์แท็กซี่ แต่เป็นการเปิดตัวขบวนการทางการเมืองของเขาเองในชื่อว่า “พรรคอเมริกา”  ในมุมแรกอาจดูเหมือนโปรเจกต์ส่วนตัวแปลกๆ ของมหาเศรษฐีอีกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตให้ดี มันอาจกลายเป็นหมากตัวใหม่ที่ส่งผลต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเป็นแรงหนุนต่อหุ้น Tesla (TSLA) ในแบบที่นักลงทุน Wall Street หลายคนยังมองไม่เห็น  พรรคอเมริกาคืออะไร?  แล้วจริงๆ พรรคอเมริกาคืออะไร? และทำไมมัสก์ถึงสร้างมันขึ้นมา?  พูดง่ายๆ นี่คือคำตอบของอีลอน มัสก์ต่อระบบที่เขามองว่า “ล้มเหลว” พรรคอเมริกาเป็นขบวนการทางการเมืองใหม่ ที่ตั้งใจมาท้าทายระบบการผูกขาดของสองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ มัสก์ระบุว่า พรรคนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการพูด เปิดพื้นที่ให้การถกเถียงทางการเมืองกว้างขึ้น และอาจมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านภาษีและกฎระเบียบที่กระทบต่อธุรกิจของเขาโดยตรง  ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกินตัว โค้ดภาษีที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎระเบียบที่ขัดขวางเทคโนโลยีใหม่ๆ มัสก์ต้องการลุกขึ้นมาท้าทายทั้งหมดนี้ และสร้างระบบที่ให้ “ไอเดียที่ดีที่สุด” ชนะ ไม่ใช่ “คนที่วิ่งล็อบบี้เก่งที่สุด”  แต่มันยังมีอีกชั้นหนึ่ง พรรคอเมริกาดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ตอบโต้ของมัสก์ต่อภัยคุกคามอย่างข้อเสนอของทรัมป์ในการเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อโรงงาน Tesla ในเบอร์ลิน การมีพรรคการเมืองของตัวเอง ทำให้มัสก์ไม่ได้แค่ตั้งรับ แต่รุกกลับเต็มที่ ตั้งเป้าสร้างบทสนทนาใหม่ในสังคม และผลักดันนโยบายที่จะทำให้สหรัฐฯ แข่งขันได้ในเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง  พูดให้เข้าใจง่ายๆ: พรรคอเมริกาคือวิธีของมัสก์ในการ […]