ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย ? ทำไมดอลลาร์ถึงสำคัญและเราควรรู้  

2025-03-14 | ค่างินดอลลลาร์ , ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , ภาวะเศรษฐกิจถดถอย , ภาษีทรัมป์

คำถามใหญ่ในตลาดตอนนี้คือ ใกล้ถึงภาวะเสรษฐกิจถดถอยแล้วหรือยัง? เพื่อจะตอบคำถามนี้ได้อย่างดีนักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตาดูเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ตลาดส่งสัญญาณว่า “ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย”  แต่เงินดอลลาร์กลับไม่เป็นเหมือนที่คาดไว้ แทนที่จะเป็นเหมือนที่ปลอดภัยแบบก่อนๆ แต่กลับอ่อนค่าลงมาก ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เพิ่งแตะระดับจุดต่ำสุดมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2567 การเดิมพันอัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น และตอนนี้เฟด (Fed) ก็เป็นห่วงอนาคตของดอลลาร์เช่นกัน  “ฉันเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับปัจจัยที่อาจคุกคามเงินสำรองของดอลลาร์สหรัฐ”  Fed’s Harker ได้กล่าวไว้  

แล้วอะไรหละที่อยู่เบื้องหลังของการร่วงของเงินดอลลาร์ และมีความหมายต่อนักเทรดและนักลงทุนอย่างไร?  

ต่อให้รักหรือเกลียดทรัมป์แค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันจากนโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีผกระทบต่อตลาดและเป็นส่วนที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง   

นโยบายการคลังที่ต่างจากวาระแรก

ในวาระที่สองนี้ ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการลดการขาดดุลงบประมาณ แม้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นผลดีต่อความยั่งยืนของหนี้ระยะยาว แต่ก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงเริ่มปรับพอร์ต หันออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

การคาดการณ์ว่าเฟด (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกกำลังกดดันค่าเงินดอลลาร์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์ก็ลดลงตาม ทำให้เงินดอลลาร์ไม่น่าสนใจเทียบกับสกุลเงินอื่น 

ความตึงเครียดทางการค้า

แนวคิด “America First” ของทรัมป์กลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกเตรียมรับมือกับมาตรการกำแพงภาษีใหม่และสงครามการค้าครั้งใหม่ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์อื่น  

โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุน โดยเฉพาะ “Smart Money” หรือเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน มักจะไหลเข้าสู่ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง 

สิ่งนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งคือ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงอาจ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์  

(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

ลองย้อนดูวิกฤติที่ผ่านมา วิกฤตการเงินปี 2008 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) พุ่งขึ้นกว่า 20% ช่วงโควิด-19 ปี 2020 ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 7% ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2022 ดอลลาร์แข็งค่าประมาณ 20% ปกติแล้วในอดีต ดอลลาร์ที่แข็งค่ามักเป็นสัญญาณเตือนภาวะถดถอย แต่ รอบนี้แตกต่างออกไป  

แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 อาจจะไม่เหมือนอย่างที่เราคิด เพราะปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอาจสะท้อนว่า แม้ตลาดจะมีความกลัวสูง แต่ Smart Money ยังคงไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะล่มสลายในเร็ว ๆ นี้ 

เราจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ให้ดี เพราะมันอาจช่วยให้คุณมองเห็นสัญญาณที่แท้จริงของตลาด  

แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย (Economic Collapse) ดังนั้น นักลงทุนจึงมองเห็น โอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์อ่อนค่า คือ  

  • หุ้น: เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง หุ้นสหรัฐฯ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทอเมริกันสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการส่งออกถูกลง 
  • ทองคำ :โดยปกติแล้ว ทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เมื่อเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นอีก 
  • คริปโต: Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ อาจได้รับ แรงหนุนจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออาจลดลง ซึ่งส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัล 

นักลงทุน Smart Money มองเห็นสิ่งนี้ในอนาคต  

Source : Augur Infinity(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

เมื่อทุกคนต่างตื่นตระหนกกับ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2025” นักลงทุนที่มองทะลุความกลัวกลับเลือก Shorting the Dollar และจนถึงตอนนี้ กลยุทธ์นี้ให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม เนื่องจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลงไปแล้วกว่า 4% ตั้งแต่ต้นปี 

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตลาดอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก 

ตลาดเกิดใหม่ได้ประโยชน์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มักถูกกำหนดเป็นสกุลเงินดอลลาร์ จะจัดการได้ง่ายขึ้น เพราะภาระหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินท้องถิ่น 

ค่าเงินในยุโรปและเอเชียแข็งค่าขึ้น เงินยูโร (EUR), เงินเยน (JPY) และ เงินหยวน (CNY) ได้รับกระแสเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการถือสินทรัพย์ปลอดภัย  

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ Jerome Powell และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หากเฟดเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อไป ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง เฟดอาจต้องชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวน 

นโยบายของเฟดต้องอาศัยความสมดุล หากลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป เงินเฟ้ออาจกลับมาพุ่งสูง แต่หากลดช้าเกินไป อาจสร้างความกังวลในตลาดและนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง 

สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณา

  • เฝ้าติดตามตลาดหุ้นในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวน 
  • ประเมินทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง หากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า 
  • จับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดิจิทัลตามสภาพคล่องของตลาด 

ไม่ว่าเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ ปัจจุบัน การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้สร้างข้อสงสัยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต 

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญ ตามสถิติในอดีต ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักส่งผลดีต่อ ตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโตเคอเรนซี 

คำถามที่เหลืออยู่ตอนนี้คือ เฟดจะกล้าลดดอกเบี้ยมากแค่ไหน? และนักเทรดจะยังคงเดิมพันกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ต่อไปหรือไม่? 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกของ Doo Prime เพิ่มเติมได้ที่นี่


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-10-10 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ความกังวลเรื่องรัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์และการลดดอกเบี้ย: โลหะเงินจะพุ่งถึง $75 ได้ไหม? 

รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการแล้ว ขณะที่ตลาดกำลังจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยไปแล้ว เงินเฟ้อยังคงทรงตัวในระดับสูง และค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ส่งผลให้โลหะเงินเริ่มกลับมาฟื้นตัว  สภาพคล่องกำลังหลั่งไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “สูตรมหภาค” แบบเดียวกับที่เคยทำให้เกิดการปรับขึ้นครั้งใหญ่ของราคาโลหะเงินในอดีต แต่ครั้งนี้ กราฟชี้ให้เห็นสัญญาณบางอย่างที่อาจยิ่งใหญ่กว่าเดิม  โลหะเงินจะสามารถทำลายคำสาป 40 ปี และพุ่งทะลุถึง $75 ได้หรือไม่?  ฟังดูเหมือนความฝัน แต่เมื่อปีที่แล้ว ทองคำแตะ $3,000 ซึ่งตอนนั้นก็มีคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  การคาดการณ์ราคาโลหะเงิน ปี 2025  เริ่มจากสิ่งที่เห็นได้ชัด: ราคาของโลหะเงินได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ความต้องการอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่กลับมาอีกครั้ง  จากการคาดการณ์หลายสำนักเกี่ยวกับราคาโลหะเงินในปี 2025 พบว่าตอนนี้ราคากำลังเข้าใกล้ระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2011 ความแตกต่างในรอบนี้คือ “ภาวะตึงตัวทางเศรษฐกิจมหภาค” ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ “นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น”  เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง และโลหะมีค่าต่างๆ เช่น โลหะเงิน จะยิ่งโดดเด่นขึ้น เพราะในสภาวะที่อัตราผลตอบแทนต่ำ สินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ยจะดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าเดิม เมื่อรวมกับปัญหาการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยิ่งกลายเป็น “ค็อกเทลของความกลัว สภาพคล่อง และโอกาส” ที่พร้อมขับเคลื่อนตลาด  หากคุณติดตามแนวโน้มราคาของโลหะเงินในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแรงส่งของตลาดยังคงต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มีสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือท่าทีผ่อนคลายจาก Fed ราคาของโลหะเงินก็มักจะขยับขึ้นอีกขั้น  ทองคำ vs โลหะเงิน: เกมระยะยาว  กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า ทองคำมีผลงานเหนือกว่าโลหะเงินอย่างมากตั้งแต่ปี 1980 โดยมูลค่าที่ปรับตามดัชนีของทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่า ขณะที่โลหะเงินยังตามหลังอยู่มาก  แต่หากสังเกตให้ดี ทั้งสองโลหะกำลังแสดงให้เห็นถึง รูปแบบการฟื้นตัวแบบก้นกลม ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกระบุด้วยเส้นโค้งสีเขียวในกราฟ  การฟื้นตัวรอบแรกเกิดขึ้นหลังวิกฤตปี 2011 และรอบที่สอง ซึ่งก็คือช่วงที่เรากำลังอยู่ตอนนี้ มีลักษณะคล้ายกันมาก ทองคำได้ทะยานขึ้นในแนวตั้งไปแล้ว ขณะที่โลหะเงินกำลังสร้างรูปแบบคล้ายกระจกสะท้อน อาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวตามมาช้ากว่า  ลูกศรสีม่วงแบบจุดในกราฟ คือแนวโน้มที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจเป็น การเทรดแบบกลับสู่ค่าเฉลี่ย ที่โลหะเงินเริ่มไล่ตามช่องว่างด้านผลตอบแทนที่ยาวนานหลายทศวรรษของทองคำ  หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ราคาโลหะเงินที่ $75 อาจไม่ไกลเกินเอื้อม และอาจเป็น “การล้างแค้น” ที่รอคอยมานานของโลหะเงินก็ได้  การต่อสู้ของโลหะเงินกับกำแพงราคา $50  กราฟนี้เล่าเรื่องของโลหะเงินได้ทั้งหมดในภาพเดียว  รูปแบบชัดเจนว่า โลหะเงินจะสร้างฐานราคาใหญ่ ทดสอบแนวต้านที่ $50 แล้วจะเกิดขึ้นเพียงสองทาง คือร่วงแรง หรือทะลุเข้าสู่ยุคใหม่  การปรับตัวขึ้นในรอบนี้มีปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้ฝั่งกระทิงยังคงมีความหวัง:  หากโลหะเงินสามารถทะลุแนวต้านที่ $50 ได้อย่างชัดเจน แรงโมเมนตัมอาจส่งให้ราคาทะยานขึ้นสู่ระดับจิตวิทยาที่ $75 ได้ไม่ยาก ตัวเลขนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม เพราะเป็นการปรับขึ้นประมาณ 50% จากจุดสูงสุดของรอบก่อนหน้า ซึ่งยังอยู่ในกรอบความผันผวนทางประวัติศาสตร์ของตลาด  ปัจจัยจากเฟด: การลดดอกเบี้ยอาจเป็นชนวนสำคัญ  ตลาดในขณะนี้กำลังคาดการณ์ว่าจะมีการ ลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปี 2025 ตามข้อมูลจาก FedWatch สำหรับโลหะเงิน นี่ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการพุ่งขึ้นของราคา  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และเนื่องจากโลหะเงินมีการกำหนดราคาด้วยดอลลาร์โดยตรง จึงเป็นแรงหนุนในทันทีต่อทิศทางราคาของโลหะเงิน  ทุกการคาดการณ์ราคาหลักของโลหะเงินตั้งแต่ยุค 1980s แสดงรูปแบบที่คล้ายกัน คือ เมื่อเฟดผ่อนคลายนโยบาย โลหะเงินจะพุ่งขึ้น และเมื่อเฟดเข้มงวด ราคาจะชะลอตัว สำหรับรอบนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผ่อนคลายอีกครั้ง แต่มีปัจจัยเสริมอย่างภาระหนี้ทั่วโลกที่สูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และความไม่แน่นอนทางการเมือง  นี่ไม่ใช่สภาวะปกติของตลาด แต่คือ พายุสมบูรณ์แบบสำหรับโลหะเงิน  โลหะเงินจะขึ้นถึง $75 ได้จริงหรือไม่?  ราคา $75 ยังไม่การันตี แต่ เป็นไปได้ โลหะเงินเคยแตะเกือบ $50 ในปี 2011 และหากคำนวณตามสัดส่วนของอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของดอลลาร์ในปัจจุบัน ระดับราคาที่เทียบเท่ากันจะอยู่ราว $70–$80  เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้  หากปัจจัยทั้งหมดนี้สอดคล้องกัน โลหะเงินอาจกลับมาทวงบัลลังก์ในฐานะ “โลหะแห่งประชาชน” ได้อีกครั้ง  เมื่อความกลัวมาพบกับสภาพคล่อง โลหะเงินจะเปล่งประกาย  ท่ามกลางภาวะการปิดหน่วยงานรัฐ การคาดการณ์การลดดอกเบี้ย และการที่โลหะเงินตามหลังทองคำมายาวนาน แนวโน้มของโลหะเงินในปี 2025 ดูร้อนแรงอย่างมาก  มันจะไปถึง $75 ได้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับว่าความตึงเครียดทางเศรษฐกิจนี้จะยืดเยื้อแค่ไหน  แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอน ยักษ์ที่หลับใหลอย่างโลหะเงินกำลังจะตื่นขึ้น และเมื่อมันตื่น ตลาดอาจต้องใส่แว่นกันแดดเตรียมรับแสงเจิดจรัสของมันไว้ได้เลย 

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]