ภาพรวมตลาดปี 2022 : เหตุการณ์เศรษฐกิจโลก (II)

2022-12-09 | Forex , Securities , Trading Contest , บทความการเงิน

ในบทความสรุปเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจล่าสุดของเรา เราได้กล่าวถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ วิกฤตเงินเยนญี่ปุ่น และเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดการเงินในปี 2022 ทั้งสิ้น ในบทความนี้ เราจะมาร่วมวิเคราะห์กันต่อถึงเหตุการณ์อื่นๆ ที่สำคัญต่อสภาพเศรษฐกิจโลกไม่แพ้กัน 

7. บริษัทของรัฐบาลจีนแห่ถอนตัวจากสหรัฐฯ และย้ายไปจดทะเบียนที่ฮ่องกง 

ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวใหญ่ในตลาดดัชนีสหรัฐฯ เกิดขึ้น โดยบริษัทของรัฐบาลจีน 5 แห่ง ได้แก่ China Life Insurance, Sinopec, PetroChina, Aluminum Corporation of China (Chalco) และ Shanghai Petrochemical ประกาศว่าพวกเขาได้ยื่นขอเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) แล้วโดยสมัครใจ 
 

สาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้มีผลสืบย้อนมาจากการผ่านร่างกฎหมาย Holding Foreign Company Accountable Act (“HFCAA”) โดยวุฒิสภาสหรัฐฯ ในปี 2020 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวระบุให้บริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ต้องถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ทันที ถ้าบริษัทไม่ส่งเอกสารการตรวจสอบบัญชีให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามปีติดกัน 

ทำให้มีบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ หลายร้อยแห่งตอนนี้ กำลังถูกขึ้นบัญชีดำเตรียมถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ 

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2021 ผู้ให้บริการรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ China Mobile, China Unicom และ China Telecom ก็ถูกถอดจากดัชนี NYSE ไปด้วย เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐวิสาหกิจชั้นนำของจีนทั้ง 5 แห่งดำริว่าจะออกจากดัชนี NYSE ทำให้ตลาดเกิดความกังวลว่าหุ้นบริษัทจีนจะถูกเพิกถอนจากการจดทะเบียนหลักทรัพยในดัชนีสหรัฐฯ ในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ 

แม้กระนั้น นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า บริษัทชั้นนำของจีนทั้ง 5 แห่งที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ มีส่วนแบ่ง ADR ค่อนข้างน้อย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะถูกถอดจากดัชนีสหรัฐฯ ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นไม่มากนัก และเนื่องจากบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนทั้งในดัชนี A-share และดัชนีฮ่องกง การออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางการเงินที่ตามมา ทั้งนี้ยังเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการให้ความสำคัญกับความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ และจีนมากกว่า 

แต่ถึงกระนั้น การออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็หมายความว่าเป็นการเสียโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนจำนวนมาก 

นี่จึงทำให้หุ้นจีนเหล่านี้มีแรงซื้อในตลาดลดลง และสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นจากเหตุการณ์นี้ 

8. สภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก 

ในปีนี้มีสภาพอากาศแปรปรวนเกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสภาพเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะฤดูร้อนที่ผ่านมานี้ คลื่นความร้อนได้พาดผ่านหลายภูมิภาคของโลก หลายมณฑลของจีนเผชิญกับความร้อนจัดโดยมีอุณหภูมิสูงถึง 40°C หรือมากกว่านั้นเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน 

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของจีน (CMA) ได้ออกประกาศเตือนภัยระดับสีแดงเป็นครั้งแรกในขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำแยงซียังคงเหือดแห้ง 

ยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็หนีคลื่นความร้อนไม่พ้นเช่นกัน ในฤดูร้อนปีนี้หลายแห่งในยุโรปยังคงทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุด และเกิดไฟป่าขึ้นบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็อยู่ในสภาพอากาศที่แห้งแล้งมากเช่นกัน 

อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญด้วย อันดับแรก อุณหภูมิที่สูงทำให้ผู้คนต้องจ่ายค่าไฟมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงสร้างความท้าทายให้กับโครงสร้างพลังงานที่เปราะบางอยู่แล้วในยุโรปเท่านั้น แต่ยังทำให้การจัดการกับอัตราเงินเฟ้อในระยะสั้นนั้นยากขึ้นด้วย 

แม้ว่ายุโรปได้พัฒนาแผนการลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อปีที่แล้ว แต่หลังจากเกิดวิกฤตพลังงานในปีนี้ หลายประเทศในยุโรปต้องระงับแผน Carbon neutral ไปก่อน เพราะมีความจำเป็นต้องกลับมาใช้แหล่งพลังงานแบบดั้งเดิมเพิ่มมากขึ้น 

สภาพอากาศที่รุนแรงนี้เป็นตัวส่งสัญญาณเตือนความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต ความมั่นคงด้านอาหาร และความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมของทุกประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นในสภาพตลาดการเงิน และแน่นอนราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ย่อมได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรง นี่จึงทำให้กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับ “พลังงานทางเลือก” อาจมีความสำคัญในการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว 

9.  ยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย เงินยูโรอยู่ในภาวะวิกฤต 

สงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อต้นปีเป็นเหมือนชนวนที่ก่อให้เกิดวิกฤตและความยากลำบากต่างๆ ในภูมิภาคยุโรปทั้งทางตรงและทางอ้อมในปีนี้ 

วิกฤติการณ์ด้านพลังงาน: 

ยุโรปมีการพึ่งพาด้านพลังงานต้นทุนต่ำจากรัสเซียมานาน อย่างไรก็ตาม หลังจากการปะทุของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประเทศต่างๆ ในยุโรปได้ปฏิบัติตามการชี้นำของสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ยากต่อการขนส่งพลังงานของรัสเซียเข้าสู่ตลาดยุโรป 

โดยเฉพาะในเดือนกันยายน มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่าท่อส่งก๊าซ Nord Stream ที่เชื่อมระหว่างรัสเซียและยุโรปถูกก่อวินาศกรรม ทำให้โครงสร้างพลังงานที่เปราะบางของยุโรปเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่หลวง 

นอกจากนี้ คลื่นความร้อนที่พาดผ่านยุโรปในช่วงฤดูร้อนนี้ได้เพิ่มความต้องการในการใช้พลังงานมาก และฤดูหนาวปีนี้คาดว่าจะเป็น “ฤดูหนาวที่พลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอ” ของยุโรปอย่างแน่นอน 

แม้ว่ายุโรปจะจัดเก็บพลังงานก๊าซธรรมชาติไว้เป็นจำนวนมโหฬารและส่งเสริมการประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อรับมือกับฤดูหนาว แต่พลังงานจำนวนนี้อาจจะเพียงพอสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินระยะสั้นเท่านั้น และปัญหาระยะยาวของโครงสร้างพลังงานที่เปราะบางจึงยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง 

ภาวะเงินเฟ้อ: 

ผลกระทบต่อมาจากวิกฤตพลังงานทำให้รัฐบาลยุโรปต้องเพิ่มรายจ่ายทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการซื้อพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปต้องจ่ายค่าพลังงานสูงขึ้น และทำให้สภาพเงินเฟ้อในยุโรปทวีความรุนแรงมากขึ้น 

ต้นทุนด้านพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นก็วนกลับมาเป็นวงจรปัญหาที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น และโดยธรรมชาติแล้ว จะส่งผลต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการผลิตภาคอุตสาหกรรมและด้านอื่นๆ ซึ่งท้ายที่สุดก็จะสร้างผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจยุโรปทั้งหมด 

วิกฤตค่าเงินยูโร: 

ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยหลายประการ เศรษฐกิจยุโรปจึงซบเซามาเป็นเวลานาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ ความผันผวนทางการเมืองของสหราชอาณาจักรและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยังส่งผลไปทั่วโลก 

ในที่สุด ความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจแถบยูโรโซนก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรตกต่ำลงไปด้วย 

และในขณะนี้ ยังไม่มีทางออกที่สมบูรณ์แบบที่จะมาช่วยแก้ไขวิกฤตต่างๆ ของยุโรปได้เลย 

 

10. การลาออกของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ  

ตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ Liz Truss เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินปอนด์ของสหราชอาณาจักร และตลาดหุ้นของอังกฤษร่วงลงทั้งกระดาน จนนำไปสู่การลาออกของ Truss หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียงหกสัปดาห์ ทำให้เธอกลายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ 

จากนั้นนาย Sunak อดีตรัฐมนตรีคลังจึงได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี การลาออกของ Truss ไม่ได้ส่งผลให้สถานการณของเศรษฐกิจอังกฤษดีขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด 

ก่อนหน้านี้จากที่วิกฤตพลังงานที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ส่งผลกระทบกับราคาพลังงานที่สูงลิ่วและส่งผลเป็นทอดๆ ต่อไปยังอัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรให้สูงขึ้น อันที่จริงแล้ว ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ารับตำแหน่ง Truss ก็ได้เพิกเฉยต่อสถานการณ์เงินเฟ้อและยังคงแนะนำมาตรการกระตุ้นการคลังเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป 

ดังนั้นสิ่งนี้ทำให้ความพยายามก่อนหน้านี้ของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไร้ผลและเกิดแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น  

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอังกฤษมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษก็ดิ่งลงและเกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดหุ้นขึ้นเป็นวงกว้าง 

ภายใต้ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้ ตลาดค่อยๆ สูญเสียความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของอังกฤษ สินทรัพย์ที่จดทะเบียนในอังกฤษ อัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์และตลาดหุ้นอังกฤษจึงดิ่งลงมาตลอด 

ในขณะที่ Truss ลาออก นาย Sunak ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นใหม่จะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วงให้กับอังกฤษ ในขั้นตอนนี้ Sunak ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งสำคัญคือ Sunak ต้องรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการคลังที่รอบคอบกว่ายุคที่ผ่านมา 

 

11. คลื่นการ Layoff พนักงานของกลุ่มบริษัทเทคฯ สหรัฐฯ 

หลังจากการพิพาทมากว่าครึ่งปี Elon Musk ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกก็เสร็จสิ้นการซื้อกิจการ Twitter ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เมื่อปลายตุลาคมที่ผ่านมาและขึ้นเป็นซีอีโอคนใหม่ 

แต่เมื่อเขาได้เป็นเจ้าของ Twitter แล้ว Musk ก็เริ่มเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากทันที ในอีเมลภายในของบริษัทในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2022 วันเดียว Musk ได้ไล่พนักงาน Twitter เกือบ 3,700 คนเลยทีเดียว 

การปลดพนักงานที่ Twitter เป็นเหมือนชนวนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วแวดวงบริษัทเทคโนโลยีของ Silicon Valley ด้วย Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดียก็ประกาศปลดพนักงาน 11,000 ตำแหน่งหรือประมาณ 13% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ขณะที่ Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซก็ประกาศแผนปลดพนักงานหลายหมื่นตำแหน่งเช่นกัน 

เหตุผลเบื้องหลังการเลิกจ้างของบริษัทในซิลิคอนแวลลีย์ระลอกนี้มีสาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปัจจุบันและความต้องการของผู้บริโภคที่น้อยลง ทำให้การเติบโตของธุรกิจช้าลงตาม 

หากการเลิกจ้างบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ยังคงไม่ลดลง นี่อาจเป็นการสะท้อนว่าผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางสหรัฐนั้นมีผลกระทบเช่นไร  

และหากการปลดพนักงานครั้งนี้นำไปสู่การว่างงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต นั่นก็อาจส่งผลให้เฟดตัดสินใจแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยในมุมที่ต่างไป และอาจเปลี่ยนนโยบายการคลังในที่สุด 

 

12. FTX ยื่นล้มละลาย: Lehman ของโลกคริปโตเคอเรนซี  

ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ FTX บริษัทระดับโลกที่ให้บริการซื้อขายคริปโตฯ อันดับ 3 ได้ยื่นล้มละลาย ซึ่งเหตุการณ์ได้คล้ายกับการที่ Lehman ยักษ์ใหญ่การเงินของสหรัฐฯ เคยยื่นล้มละลายในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ สิ่งนี้ทำให้ราคา Bitcoin, Ethereum และ เหรียญคริปโตอื่นๆ ร่วงลงทันที 

เหตุเกิดจากการที่มีบทความออนไลน์ได้ตีพิมพ์พ์ว่ากองทุนคริปโตที่มีชื่อว่า Alameda มีหนี้สินจำนวนมากประมาณ 8 พันล้านเหรียญ นอกจากนี้ มูลค่าสินทรัพย์ราว 6 พันล้านเหรียญจากทั้งหมด 14.6 พันล้านเหรียญนั้นเป็นเหรียญ FTT เหรียญที่ออกมาจาก FTX 

ทั้ง FTX และ Alameda Research ก่อตั้งโดย Sam Bankman-Fried หรือมีชื่อย่อว่า SBF ดังนั้น จึงมีคำถามมากมายจากนักลงทุนว่าบริษัทนี้โปร่งใสหรือไม่ และจะสามารถชำระหนี้ได้ไหม 

เมื่อตลาดเริ่มกังวล บริษัทเจ้าหนี้ทั้งหลายจึงอยากให้ Alameda Research จ่ายหนี้คืนและบังคับให้ SBF ขายเหรียญทั้งหมดเพื่อชำระหนี้ เเต่ด้วยตลาดที่ขาดความเชื่อมั่นใน FTX ไปแล้วทำให้นักลงทุนหลายคนรวมถึง Zhao Changpeng ซึ่งเป็น CEO ของ Binance บริษัทซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำการถอนเงินออก สุดท้ายมูลค่าเหรียญ FTT ได้ดิ่งลงถึง 90% ภายใน 3 วัน! 

สื่อได้เปิดเผยว่า SBF ใช้ เงินของลูกค้า FTX ในการไฟเเนนส์หนี้ของ Alameda ซึ่งทำให้นักลงทุน FTX ตื่นตระหนกและถอนเงินออกจาก FTX ทั้งหมด ทำให้บริษัทต้องยื่นล้มละลาย 

เมื่อได้ศึกษาการยื่นล้มละลายของ FTX แล้ว เราสามารถรู้ได้ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบเพราะโลกของสกุลเงินดิจิตัลนั้นเน้นความเป็น Decentralized รวมถึง FTX ด้วย ดังนั้นจึงขาดการควบคุมจากรัฐบาล เเต่การควบคุมแบบ Centralized เป็นการย้อนแย้งกับหลักการดั้งเดิมของเงินดิจิตัลเป็นอย่างมาก 
 

บทวิเคราะห์ภาพรวมตลาดในปี 2022 ในเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่จังหวะการซื้อขายในตลาดการเงินจะยังคงไม่หยุดลง ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเรียนรู้จากอดีต ไตร่ตรองทบทวน และวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมกับการลงทุนในอนาคตที่ดีกว่าเดิม! 

| เกี่ยวกับ Doo Prime  
  

เครื่องมือการซื้อขายของเรา   

หลักทรัพย์ | ฟิวเจอร์ส| ฟอเร็กซ์ | โลหะมีค่า | สินค้าโภคภัณฑ์ | ดัชนีหุ้น  

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน   

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก   

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ   

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก  

  
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ   

โทรศัพท์   

ยุโรป : +44 11 3733 5199  
เอเชีย : +852 3704 4241  
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415  
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539    

  
ีเมล  
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]  
ฝ่ายขาย [email protected]  

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)         

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)       

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต        

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้       

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้


  

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง  

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย   

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง  

  
ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย  

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป