ความกลัวภาวะถดถอยของสหรัฐฯ

2022-09-21 | ข่าวสารการลงทุน , ข่าวสารล่าสุด

ความหมาย สาเหตุ และสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ในวันที่ 16 กันยายน 2022 มีคำเตือนจาก FedEx ว่าภาวะถดถอยทั่วโลกกำลังใกล้เข้ามาถึง เนื่องจากอุปสงค์ของปริมาณขนส่งทั่วโลกตกต่ำลง ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ย่ำแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ 

นอกจากนี้ คำเตือนจาก FedEx ยังทำให้เกิดการขายหุ้นสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากเพื่อหนีความเสี่ยง ดัชนี Dow ร่วง 5% ในขณะที่หุ้นคู่แข่งของ FedEx คือ UPS (UPS) ปิดลดลงประมาณ 5% 

หุ้น FedEx ขาดทุนในวันเดียวถึง 21% เพิ่มจาก 16% ที่ร่วงลงในวันที่ตลาดหุ้นตกในปี 1987 และร่วงลงอีก 15% ระหว่างการขายหุ้นออกในเดือนมีนาคมปี 2020 ช่วงเริ่มต้นของการระบาดโควิด-19 ในระยะยาว หุ้นของ FedEx ลดลงถึง 38% ในปีนี้ 

จากเหตุการณ์เหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดและพฤติกรรมของนักลงทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากความกลัวภาวะถดถอยของสหรัฐฯ  

ก่อนที่จะพูดลึกลงไปถึงเรื่องการตอบโต้ของตลาดและนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะถดถอยที่ใกล้เข้ามา เราจะมาพูดถึงความหมายของภาวะถดถอยก่อน 

อะไรคือภาวะถดถอย 

คณะกรรมการของสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ  (NBER) มีหน้าที่ประกาศสถานการณ์หากเกิดภาวะถดถอย ซึ่งภาวะถดถอยนั้นเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญและคงอยู่หลายเดือน 

อีกทั้ง ภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นเมื่อ GDP ลดลงเป็นเวลาสองไตรมาสติดต่อกันอีกด้วย 

แน่นอนว่าภาวะถดถอยไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการลดลงของค่า GDP เท่านั้น แต่จากการที่รายได้ที่แท้จริง อัตราการจ้างงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง รวมถึงช่วงซบเซาของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกด้วย 

อะไรก่อให้เกิดภาวะถดถอย 

โดยทั่วไป การเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราการขยายตัวไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปได้ 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญมักถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ คือ 

วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ 

เกิดจากสถานการณ์ที่คาดการณ์ไม่ถึง เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ หรือการโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ทำให้เกิดภาวะแทรกแซงทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น ยกตัวอย่างสถานการณ์ปัจจุบันให้เห็นภาพคือ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้เกิดภาวะถดถอย 

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง 

ในเวลาที่ผู้บริโภคกังวลเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ พวกเขามักจะใช้จ่ายอย่างประหยัดและเก็บเงินเป็นจำนวนมากเท่าที่จะทำได้ 

เนื่องจากค่า GDP ประมาณ 70% มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ดังนั้น เมื่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง เศรษฐกิจภาพรวมก็ชะลอตัวลงอย่างหนักมากเช่นกัน 

อัตราดอกเบี้ยสูง 

โดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยสูงทำให้การกู้เงินจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้แล้ว ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อของที่มีมูลค่าสูง เช่น ทรัพย์สิน หรือรถยนต์ 

นอกจากนั้นแล้ว บริษัทยังลดค่าใช้จ่ายและการขยายธุรกิจลง เนื่องจากต้องใช้เงินทุนเพิ่มขึ้นไปด้วย

จากที่เรากล่าวไว้ในบทความก่อนหน้าในเรื่องภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และเรื่อง Inflation Trade เราได้เห็นแล้วว่าการที่อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นสูงนั้นสร้างความกระวนกระวายใจให้แก่นักลงทุนเพียงใด ซึ่งการปรับดอกเบี้ยขึ้นนี้ทำเพื่อควบคุมสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะแย่ลงอย่างรวดเร็ว

ภาวะเงินฝืด 

ภาวะเงินฝืด เป็นภาวะตรงกันข้ามของภาวะเงินเฟ้อ ภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นเมื่อระดับราคาโดยรวมลดลงเนื่องจากอุปสงค์ลดลงเป็นอย่างมาก 

เมื่ออุปสงค์ลดลง ราคาขายจึงลดลงด้วยเพื่อเป็นการดึงดูดผู้ซื้อ ในทางกลับกัน ผู้บริโภคมักใช้โอกาสในแนวโน้มขาลงนี้รอให้ราคาต่ำลงอีก ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ลดลงไปอีก 

เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีการตัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและทำให้อัตราการจ้างงานลดลง และหากภาวะนี้ดำเนินต่อไป ความเสียหายทางเศรษฐกิจและปัญหาเรื่องการว่างงานจะมากขึ้น 

ปัญหาฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ 

ปัญหาฟองสบู่เป็นช่วงที่การลงทุน เช่น หุ้นเทคโนโลยีในภาวะฟองสบู่ดอทคอมหรือภาวะฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอยครั้งใหญ่มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าราคาฐาน 

ราคาที่เฟ้อขึ้นขึ้นเกิดขึ้นจากอุปสงค์ที่เกินจริง จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวแล้วระเบิดออก ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตก 

ระหว่างสภาวะเหล่านี้ ทุกอย่างอยู่ในจุดตกต่ำและผู้คนมีความเชื่อมั่นลดลง ดังนั้น ผู้บริโภคและบริษัทต่าง ๆ จะลดค่าใช้จ่ายลง ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย 

ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบกับนักลงทุนอย่างไร 

หลังจากเรียนรู้ความหมายของภาวะถดถอยและสาเหตุ ตอนนี้ เราจะศึกษาว่าภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนอย่างไร  

เมื่อกล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและผลกระทบของภาวะถดถอยต่อนักลงทุน จึงนำมาสู่เรื่อง วัฏจักรทางเศรษฐกิจ 

วัฏจักรทางเศรษฐกิจ 

วัฏจักรทางเศรษฐกิจเป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นและลง 

วัฏจักรทางเศรษฐกิจประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ ช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น (Expansion) จุดสูงสุดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Peak) ช่วงเศรษฐกิจขาลง (Recession หรือ Contraction) และ จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ (Trough) 

ระหว่างช่วงขยายตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจกำลังเติบโตและพัฒนา ด้วยเหตุนี้ เราจะเห็นสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้ชัดในราคาหุ้นและเงินปันผล ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ 

อย่างไรก็ตาม วัฏจักรทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง อัตราของรายได้และการจ้างงานจะลดลงด้วย ราคาหุ้นจะดิ่งลงเนื่องจากบริษัทต่าง ๆ พยายามที่จะรักษากำไรไว้ 

เมื่อราคาหุ้นแข็งค่าขึ้นหลังจากดิ่งลง เรียกได้ว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ระยะจุดต่ำสุด (Trough) แล้ว 

นักลงทุนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับภาวะถดถอย 

อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เรื่องวัฏจักรทางเศรษฐกิจไม่เป็นประโยชน์ใดหากนักลงทุนมองไปยังสถานการณ์เหล่านี้และเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตลงทุน 

ดังนั้น เมื่อภาวะถดถอยกำลังใกล้เข้ามา นักลงทุนเริ่มกังวลเรื่องโอกาสที่ราคาหุ้นจะตกลงและผลกระทบของผลตอบแทนการลงทุน 

ในระหว่างสภาวะนี้ นักลงทุนควรทำอย่างไร ความจริงแล้วมีหลายกรณีและวิธีการที่ขึ้นอยู่กับประเภทของนักลงทุน 

ข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักว่าแม้ว่าจะเป็นตลาดหมี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทน 

มีกรณีที่นักลงทุนใช้ประโยชน์จากตลาดหุ้นตกต่ำด้วยการ short sell หุ้น กล่าวคือนักลงทุนได้กำไรเมื่อราคาหุ้นตกและขาดทุนเมื่อราคาหุ้นขึ้น 

โดยพื้นฐานแล้ว การขาดทุนจาก Short sell นั้นไม่สามารถนับเป็นจำนวนได้ เนื่องจากไม่มีตัววัดแน่นอนว่ามูลค่าของหุ้นจะไปได้ถึงระดับใด 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงนักลงทุนมากประสบการณ์เท่านั้นที่ใช้วิธีนี้ได้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง 

ในขณะเดียวกัน นักลงทุนบางคนมองว่าภาวะถดถอยเป็นตลาดราคาต่ำ 

ระหว่างช่วงภาวะถดถอย นักลงทุนบางคนใช้การลงทุนตามมูลค่า (value investing) นักลงทุนจะสังเกตราคาหุ้นที่ตกและซื้อตอนที่ราคาต่ำกว่าราคาปกติ 

ทางเทคนิคแล้ว นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้เป็นผู้ที่กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดจากตลาดหมีโดยการซื้อหุ้นราคาต่ำของบริษัทที่มีชื่อเสียง 

ในทางกลับกัน นักลงทุนบางคนไม่มีปฏิกิริยากับภาวะถดถอย กลุ่มนักลงทุนเหล่านี้คือกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่ซื้อและถือโพสิชันของตัวเองในตลาด และพวกเขามั่นใจว่าความผันผวนชั่วคราวนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการลงทุนของเขานัก 

จะเกิดอะไรขึ้น  

จนถึงปัจจุบัน GDP ของสหรัฐฯ ลดลงในอัตรา 1.6% ต่อปีในไตรมาสแรก ตามด้วย 0.9% ในไตรมาสที่สองของปีค.ศ. 2022 

สิ่งนี้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะถดถอย 

อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานยังแสดงสัญญาณความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ให้เห็นว่าวัฏจักรนี้แตกต่างจากช่วงทุก ๆ 6 เดือนที่ค่า GDP ติดลบที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947  

สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการจนกว่าคณะกรรมการของสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ  (NBER) จะประกาศเรื่องนี้ 

| เกี่ยวกับ Doo Prime   

เครื่องมือการซื้อขายของเรา 

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น 

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 60,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 5,122 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน 

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก 

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ 

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ 

โทรศัพท์ 
ยุโรป : +44 11 3733 5199  
เอเชีย : +852 3704 4241   
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415  
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539  

อีเมล 

ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected] 

ฝ่ายขาย [email protected] 

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย 

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย 

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป