การลงทุน ESG: แนวทางสำหรับนักลงทุน

2023-04-07 | ESG , การลงทุน , การลงทุน ESG

การลงทุน ESG ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนพยายามจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับค่านิยมที่พวกเขายึดถือและเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ESG ย่อมาจากสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หมายถึงกฎเกณฑ์สำหรับนักลงทุนในการประเมินความยั่งยืนและผลกระทบทางจริยธรรมของการลงทุน 

แต่ถึงแม้การลงทุน ESG จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่การลงทุน ESG ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากการเมืองทั้งสองข้าง ฝ่ายขวาบางคนเรียกว่าเป็นพวก “โว้กทุนนิยม (Woke Capitalism)” ในขณะที่ฝ่ายซ้ายกล่าวหาว่ามันคือ “การฟอกเขียว (Greenwashing)” อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุน ESG เป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลในการลงทุนจากการคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวของการลงทุนที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 

ในบทความนี้ เราจะศึกษาพื้นฐานของการลงทุน ESG รวมถึงคำจำกัดความ ประโยชน์ที่ได้รับ และอนาคตของการลงทุนนี้ 

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุน ESG: ความหมายและความสำคัญ 

การลงทุน ESG ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการลงทุนลักษณะนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการของตนได้ วิธีการนี้คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเพื่อประเมินความยั่งยืนและผลกระทบทางจริยธรรมของการลงทุน 

เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ ESG ได้รับการยอมรับในหมู่นักลงทุนคือ การลงทุน ESG มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนแบบเดิม คือ การทำผลตอบแทนสูงสุด อันที่จริงแล้ว คำว่า “ESG” เป็นคำที่ร่วมกันสร้างขึ้นโดยกลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่ในรายงานปี ค.ศ. 2004 ที่พัฒนาร่วมกันกับองค์กร United Nations Global Compact ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนขององค์กร 

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น บริษัทและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และหลักปฏิบัติในการดูแลองค์กร นักลงทุนสามารถตัดสินใจเรื่องบริษัทที่จะลงทุนได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น สิ่งนี้สามารถช่วยส่งเสริมแนวทางปฏิบัติของธุรกิจที่ยั่งยืนและมีจริยธรรม และส่งเสริมให้บริษัทมีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการลงทุน ESG นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความท้าทายหลัก 1 อย่างคือการขาดมาตรฐานในการตัดสินใจ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ และทำการตัดสินใจอย่างรอบรู้ได้ยาก นักวิจารณ์โต้แย้งว่าการลงทุน ESG นั้นอาจเป็นเรื่องส่วนตัวและเปิดกว้างสำหรับการตีความ ซึ่งนำไปสู่ความคิดที่ขัดแย้งกัน และกลายเป็นอคติในที่สุด 

โดยภาพรวมแล้ว การลงทุน ESG เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เมื่อผู้คนจำนวนมากขึ้นตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจากการลงทุน ความต้องการในการลงทุน ESG ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

ประโยชน์ของการลงทุน ESG: ความแตกต่างของ ESG กับการลงทุนแบบเดิม และผลตอบแทน 

การลงทุน ESG แตกต่างจากการลงทุนแบบเดิมหลายประการ ประการแรก การลงทุน ESG จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่กว้างกว่าดูเพียงแค่ผลประกอบการทางการเงิน สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนศึกษาบริษัทที่ไม่เพียงมีสถานะทางการเงินที่ดี แต่ยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืนอีกด้วย 

ประการที่สอง การลงทุน ESG สามารถนำไปสู่ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีขึ้นและมีความเสี่ยงลดลง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่แข็งแกร่งมักจะมีประสิทธิภาพดีกว่าบริษัทอื่นในระยะยาว เนื่องจากมีความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากโอกาสได้มากกว่า นอกจากนี้ บริษัทที่ให้ความสำคัญกับปัจจัย ESG มักจะมีความอดทนมากกว่าเมื่อเผชิญกับวิกฤตต่างๆ เนื่องจากมีโครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและปรับตัวเข้ากับแนวโน้มทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า 

ประการสุดท้าย การลงทุน ESG สามารถช่วยให้นักลงทุนจัดแนวการลงทุนให้สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการที่ยึดถือ ซึ่งสามารถเติมเต็มความต้องการและให้ผลตอบแทนคืนกลับมาด้วย  

อนาคตของการลงทุน ESG: แนวโน้มและการพัฒนาที่กำหนดอนาคตของการลงทุน ESG และวิธีการเตรียมพร้อมสำหรับนักลงทุน 

อนาคตของการลงทุน ESG นั้นดูจะเป็นไปได้ดี โดยมีแนวโน้มและการพัฒนามากมายที่เป็นตัวกำหนดขอบเขต หนึ่งในแนวโน้มสำคัญคือการเพิ่มขึ้นของ “Impact Investment” ซึ่งเน้นการลงทุนในบริษัทและโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แนวโน้มอีกประการหนึ่งคือความสำคัญของข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนพยายามวัดและประเมินประสิทธิภาพของ ESG ให้ดียิ่งขึ้น 

สำหรับนักลงทุนในการเตรียมพร้อมต่อการลงทุน ESG นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการติดตามแนวโน้มและการพัฒนาเหล่านี้อยู่เสมอ โดยให้รวมปัจจัยเหล่านี้เข้ากับกลยุทธ์การลงทุนของตน ซึ่งอาจหมายถึงการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ESG หรือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ESG ของบริษัทต่างๆ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายบางประการในการลงทุน ESG ความท้าทายหลักหนึ่งประการคือการขาดมาตรฐานในสาขานี้ ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบและประเมินประสิทธิภาพ ESG ของบริษัทต่างๆ  ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ อาจเกิดการ “ฟอกเขียว” จากการที่บริษัทต่างๆ กล่าวเท็จหรือกล่าวเกินจริงเพื่อดึงดูดนักลงทุน 

เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ นักลงทุนควรมองหาบริษัทที่มีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้าน ESG และพิจารณาโดยการให้คะแนนและงานวิจัยด้าน ESG เพื่อประเมินประสิทธิภาพของบริษัท สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงข้อจำกัดของข้อมูล ESG และควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์รูปแบบอื่นๆ ด้วย 

กรณีศึกษา: ตัวอย่างของการลงทุน ESG และผลกระทบต่อบริษัทและสังคม 

เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน ESG ได้ดียิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างการลงทุน ESG ในโลกแห่งความเป็นจริงกัน 

ตัวอย่างหนึ่งคือ กองทุน Norwegian Government Pension Fund Global ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก กองทุนนี้เป็นผู้บุกเบิกในการลงทุน ESG และได้เลิกลงทุนในกิจการที่มาจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ เช่น ยาสูบ หรือการผลิตอาวุธ  

กองทุนยังได้เพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 40% ภายในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนของกองทุนอีกด้วย 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ บริษัทยูนิลิเวอร์ (Unilever) บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคข้ามชาติที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% และจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างยั่งยืนทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังได้สร้างการประชาสัมพันธ์ในเชิงบวกและเสริมสร้างชื่อเสียงของบริษัทอีกด้วย

ปัญหาการลงทุน ESG กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ เมื่อประธานาธิบดีไบเดนใช้อำนาจยับยั้งมาตรการล่าสุดโดยมาตรการดังกล่าวขัดขวางไม่ให้ผู้จัดการกองทุนเกษียณอายุพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในการลงทุน 

วุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายห้ามไม่ให้กองทุนเกษียณอายุพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เมื่อทำการลงทุน 

แนวปฏิบัติในการคัดกรองการลงทุนโดยพิจารณาจากปัจจัยที่ใส่ใจต่อสังคม ได้กลายเป็นที่นิยมในวอลล์สตรีท แต่พรรครีพับลิกันแย้งว่ามันส่งเสริมการเมืองที่ “โว้ค (Woke)” มากกว่าการสร้างผลตอบแทนทางการเงินสูงสุดด 

สภายังได้ผ่านร่างกฎหมายที่เสนอโดยตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อปิดกั้นกฎของกระทรวงแรงงานที่อนุญาตให้ผู้จัดการกองทุนพิจารณาแนวทางปฏิบัติ ESG สำหรับแผนการเกษียณอายุ 

สิ่งนี้นำไปสู่การฟ้องร้องโดย 25 รัฐที่นำโดยพรรครีพับลิกัน ซึ่งโต้แย้งว่าบทบัญญัติ ESG คือบ่อนทำลายการคุ้มครองการออมเพื่อการเกษียณอายุ อย่างไรก็ตาม ผู้เสนอกฎโต้แย้งว่าปัจจัย ESG ส่งผลกระทบต่อผลกำไรและควรนำมาพิจารณาด้วย 

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าในขณะที่ไม่มีกฎหมายของรัฐบาลกลางที่จะห้ามการลงทุนสินทรัพย์ของรัฐในกลยุทธ์ ESG รัฐรีพับลิกันหลายแห่งได้ออกกฎหมายของตนเองเพื่อห้ามการลงทุนโดยใช้ปัจจัยทางสังคมมาพิจารณา 

ในท้ายที่สุด นักวิจารณ์โต้แย้งว่าการลงทุน ESG มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นสาธารณะและเป็นการจำกัดผลตอบแทนสำหรับผู้เกษียณอายุ แต่หลักฐานก็แสดงออกในทางตรงกันข้าม แม้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะพยายามรื้อแนวทางการลงทุน ESG แต่ทั้งในและต่างประเทศต่างก็มีการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับ ESG มากขึ้น 

สิ่งที่พัฒนาของการลงทุน ESG 

การลงทุน ESG ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลจากการลงทุนมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับ ESG แต่หลักฐานก็ชี้ให้เห็นว่า เกณฑ์ ESG ที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในขณะเดียวกันก็มีส่วนช่วยให้โลกมีความยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้นด้วย  

ตัวอย่าง เช่น Norwegian Government Pension Fund Global แสดงให้เห็นว่าการลงทุน ESG สามารถส่งผลดีต่อบริษัทและสังคมได้อย่างไร 

แม้จะพยายามที่จะจำกัดการลงทุน ESG แต่กฎระเบียบทั้งในและต่างประเทศก็ตระหนักถึงความสำคัญของเกณฑ์ ESG มากขึ้นในการรายงานและการตัดสินใจ 

ในขณะที่โลกยังคงเผชิญกับความท้าทายระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม การลงทุน ESG มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการกำหนดอนาคตของการเงิน 

| เกี่ยวกับ Doo Prime       

เครื่องมือการซื้อขายของเรา     

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น    

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน    

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก     

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ     

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก     

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ     

โทรศัพท์     
ยุโรป : +44 11 3733 5199       
เอเชีย : +852 3704 4241        
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415       
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539         

อีเมล   
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]       
ฝ่ายขาย [email protected]      

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)        

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)      

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต       

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้      

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้  

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง     

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย     

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย     

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป