การยอมจำนนของนักลงทุน ตลาดที่มีแรงหนุนใหม่

2022-11-15 | บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , บทความวิเคราะหฺ์ตลาด

หุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2022 ตามการเคลื่อนไหวของโมเมนตัมจำนวนมหาศาลของวันก่อนหน้า 

เมื่อวันพฤหัสบดีกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% ซึ่งนี่เป็นค่า Core CPI ที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่กันยายน 2021 

โดยตัวเลข CPI ที่เป็นดัชนีสะท้อนราคาอาหารและพลังงานนั้นเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า แต่ก็ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.0% และเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นไปถึง 8.2% 

นี่เป็นสัญญาณว่าเฟดอาจเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และใช้นโยบายเชิงรุกน้อยลง 

โดยเมื่อสิ้นสุดช่วงท้ายวันพฤหัสบดี DJIA หรือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และ S&P 500 ปิดตลาดสูงขึ้น 3.7% และ 5.5% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มดัชนี Nasdaq ที่เน้นด้านเทคฯ เพิ่มขึ้น 7.4%  

แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องบันทึกวันนี้เอาไว้ว่าเป็นการลดลงในหนึ่งวันที่สูงที่สุดในรอบทศวรรษ โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลง 32 Basis point มาอยู่ที่ 3.82% 

สำหรับทั้งสัปดาห์นั้น Dow Jones เพิ่มขึ้น 4.1%, S&P 500 เพิ่มขึ้น 5.9% ขณะที่ Nasdaq เพิ่มขึ้นมากสุดที่ 8.1% 

ข้อมูลด้านล่างนี้เป็นข้อมูลราคาปิดตลาด ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2022 : 

 ราคาปิดตลาด การเปลี่ยนแปลง %ที่เปลี่ยน 
Dow Jones 33,747.86. +32.49. +0.10% 
S&P 500 3,992.93.   +36.56. +0.92% 
Nasdaq Comp 11,323.33.   +209.18. +1.88% 
US 10Y 3.81%   
VIX  22.52 -1.01  -4.29% 

“การยอมจำนน (Capitulation)” คือสิ่งที่ผมขอนิยามในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ที่ขายชอร์ตยอมจำนนอย่างราบคาบซึ่งทำให้นักลงทุนต่างหวังกำไรในช่วงขาขึ้นกันมากจนตลาดเปลี่ยนสภาวะไป แม้ว่าตลาดเทรดคริปโตฯ จะค่อยๆ พังทลาย ซึ่งปกติมักจะนำความรู้สึกเชิงลบมาสู่ตลาด 


แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งตลาดใหม่ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ 


ถึงแม้ตัวเลขเงินเฟ้อจริงๆ ไม่ได้ดีไปกว่าที่คาดไว้มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนความคิดนักลงทุนฝั่ง Buyer ว่าทุกอย่างอาจจะดีขึ้น ตลาดคงผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว…ซึ่งสิ่งนี้ล้วนเป็นความหวัง 


แรงบังคับใหขายชอร์ตนั้นสูงมาก โดยต่างจากแรงกดดันครั้งก่อนหน้า คือไม่มีกระแส Pullback หรือ ชุดคลื่นราคาที่วิ่งสวนแนวโน้มหลัก หรือมีแนวโน้มกลับตัวให้เห็น กระแสต่างมุ่งไปทิศเดียวทางขาขึ้น และแรงหนุนจากผู้ทำกำไรขาขึ้นรวมทั้งผู้ที่กลัวจะตกขบวน (FOMO) ต่างกลับมาสู่ตลาด  

ผลกระทบจากเมื่อวันศุกร์เป็นสัญญาณที่ดีว่าขาขึ้นครั้งนี้อาจมีหลายระลอก 

ผมขอพูดตรงๆ เลยว่า หลายคนรวมทั้งตัวผมด้วย ไม่คาดคิดว่าตลาดจะมีปฏิกิริยาแบบนี้จากจุดข้อมูลเพียงจุดเล็กๆ จุดเดียว 

ใจผมเองอยากเห็นแนวโน้มขาขึ้นนี้ดำเนินต่อไป แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกว่าอาจจะไม่แน่ เพราะอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 7.7% ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 2% ของ Fed มาก 

แล้วตลาดแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้หรือไม่?  

ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ จะเป็นตัวบอกเราได้ซึ่งหวังว่ามันจะเป็นไปตามนี้ 


เมื่อดูเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อายุ 2 ปี และ 10 ปี มันกำลังบอกเราว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะมา 


การยอมจำนนของผู้ทำกำไรขาขึ้นมักเป็นตัวบ่งชี้ว่าเราเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่การยอมจำนนของผู้ที่รอขายชอร์ตนั้นหมายถึงอะไร? 

นั่นคือ เราสามารถหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ แต่ก็อย่าลืมเตรียมรับสภาวะฝืดเคืองไว้ด้วย 

ที่มา: CBOE, Bloomberg,     

บทความนี้เขียนโดย James Gomes 

เจมส์อยู่ในวงการการเงินมากว่า 30 ปี และล่าสุดเขาทำงานให้กับธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มานานกว่า 20 ปีแล้ว      

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง  

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย    

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง    

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)       

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)     

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต      

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้     

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้  

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป