น้ำมันพุ่งขึ้น 15% ในเดือนกรกฎาคม เงินเฟ้อจะกลับมาหรือไม่

2023-08-10 | OPEC , น้ำมัน , ยูเครน , รัสเซีย , สงครามรัสเซีย-ยูเครน , สินค้าโภคภัณฑ์ , เฟด

น้ำมันดิบได้ประกาศผลกำไรติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่หก นับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบ WTI แตะระดับ 82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 

ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบล่าสุดอาจจุดชนวนสงครามพลังงานทั่วโลก 

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้สั่นคลอนเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสายสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเวลาแปดสิบปีแล้วที่ซาอุดีอาระเบียต่อรองกับสหรัฐฯ โดยสัญญาว่าจะจัดหาน้ำมันให้กับชาวอเมริกันเพื่อแลกกับการรักษาความปลอดภัยจากสหรัฐฯ จากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ ในวันนี้ พันธมิตรที่มีอายุเกือบศตวรรษนี้กำลังเผชิญกับการทดสอบที่ท้าทายอย่างมาก 

ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐกำลังฉลองความสำเร็จในการลดอัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้กำลังบอกเราถึงเรื่องราวที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง 

อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาหรือไม่ เฟดจะตอบสนองอย่างไรหากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์และทำความเข้าใจถึงปัจจัยเบื้องหลังของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนี้ นอกจากนี้ เราจะสำรวจว่านักลงทุนสามารถรับประโยชน์จากความผันผวนนี้ได้อย่างไร ในขณะที่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต 

น้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1985 

สงครามในยูเครนทำให้ตลาดพลังงานทั่วโลกหยุดชะงัก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สหรัฐฯ ก็มองหาซาอุดีอาระเบียเพื่อช่วยให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพและลดอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียไม่เต็มใจที่จะเพิ่มการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับรัสเซีย (รัสเซีย: 11%, ซาอุดิอาระเบีย 12%) และได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจมีความสำคัญต่อการระดมทุนสำหรับโครงการ Megacity แห่งอนาคตที่รู้จักกันในชื่อ ‘Neom’ 

ในการประชุม OPEC+ ครั้งล่าสุด ซาอุดีอาระเบียได้ขยายการลดน้ำมันโดยสมัครใจอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยบอกใบ้ถึงความเป็นไปได้ที่จะลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงอีกในการประชุมครั้งต่อๆ ไป ท่าทีนี้จะเพิ่มความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศ หลังจาก 78 ปีของสัญญาฝ่ายเดียว ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐฯ จะสามารถรักษาความเป็นพันธมิตรในระยะยาวได้หรือไม่? 

ปริมาณสำรองน้ำมันของสหรัฐฯ อยู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1985 การลดลงของปริมาณสำรองของสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นเร็วกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม สหรัฐฯ ประกาศว่าจะเลื่อนการเติม Strategic Petroleum Reserve (SPR) ออกไปอีกครั้ง เนื่องจาก “สภาวะตลาดและราคาที่สูงขึ้น” 

ฝ่ายบริหารของ Biden ได้นำน้ำมันออกจาก SPR ปริมาณน้ำมันกว่า 221 ล้านบาร์เรลถูกนำออกมาจากปริมาณสำรองในปี 2022 เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินเฟ้อและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบัน SPR ถือครองน้ำมันดิบเพียง 346 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1983 

OPEC+ VS U.S. Strategic Petroleum Reserve 

ในเดือนตุลาคม ปี 2022 ฝ่ายบริหารของ Biden ได้ประกาศเจตจำนงที่จะเติม SPR และได้แถลงการณ์ว่า พวกเขาวางแผนที่จะซื้อเมื่อราคาน้ำมันอยู่ที่หรือต่ำกว่า 67 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 72 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันแตะระดับดังกล่าวในปีนี้ OPEC ได้เข้ามาซื้อแทน ขณะนี้เราอยู่เหนือกรอบราคานั้นประมาณ 20% และราคาน้ำมันใกล้จะอยู่ระดับสูงสุดในรอบปีแล้ว 

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน สหรัฐฯ เติมน้ำมัน 6 ล้านบาร์เรลกับ SPR แต่ยังคงต่ำกว่า 250+ ล้านบาร์เรลที่ถูกใช้ไป ซึ่งขณะนั้นราคาน้ำมันอยู่ประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ในโซนราคาที่สหรัฐฯ ต้องการเติม SPR 

หลังจากนั้นไม่นาน ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียก็ได้ขยายการลดการผลิตน้ำมันดิบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในปีนี้ที่ OPEC ลดการผลิตเมื่อราคาน้ำมันแตะโซน 67 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 72 ดอลลาร์สหรัฐฯ  นี่อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือเปล่า? 

ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันตกลงไปที่ 67-72 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องการเติมเต็ม SPR และ OPEC ลดการผลิตน้ำมันลง ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียตกลงที่จะขยายการลดการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึง 20% ข่าวนี้เป็นลางไม่ดีสำหรับสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเติมน้ำมันำสำรองในราคาที่ต้องการได้อีกต่อไป 

น้ำมัน SPR กำลังหมดลงทุกวัน ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมีส่วนสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐต่อสู้มานานถึง 2 ปีแล้ว หาก OPEC+ และรัสเซียยังคงลดการผลิตน้ำมัน มันจะกดดันให้คลังน้ำมันลดลงและอุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมากถึง 90-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้ 

เห็นได้ชัดว่าการเติมคลัง SPR เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสหรัฐฯ และปริมาณน้ำมันสำรองดิบเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่พวกเขาต้องการ สำหรับตอนนี้ สงครามพลังงานยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากแหล่งพลังงานกำลังถูกใช้เป็นอาวุธ 

ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อกำลังจะกลับมาหรือไม่

การลดลงของราคาน้ำมันในปีที่ผ่านมามีบทบาทสำคัญต่อการลดอัตราเงินเฟ้อโดยรวมและกระตุ้นให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจกดดันให้เฟดคงท่าทีต่อไปและไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดหวัง 

เป็นอีกครั้งที่ Federal Reserve พบว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ยากลำบาก ในแง่หนึ่ง กลุ่ม OPEC+ และรัสเซียลดการผลิตน้ำมัน และในทางกลับกัน การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงอีก ซึ่งเพิ่มโอกาสภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

แต่นั่นไม่ใช่ข่าวร้ายเพียงอย่างเดียวสำหรับเฟด 

ตามที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)

  • ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2023 แตะ 102.1 ลบ./วัน 
  • จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยคิดเป็น 70% ของการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2023 

ในทางกลับกัน J.P. Morgan ได้สรุปเหตุผลบางประการในการป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ ‘Black Swan’ โดยชี้ไปที่ศักยภาพของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดและกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาด 

นักลงทุนต้องระมัดระวัง และธนาคารกลางสหรัฐจะต้องชั่งน้ำหนักปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

น้ำมันดิบ WTI จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

กล่าวโดยสรุป การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเมื่อเร็วๆ นี้ถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์และอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบียกำลังเผชิญกับบททดสอบในเชิงพันธมิตร และเฟดก็อยู่ในจุดที่ยากลำบากในขณะที่พยายามรักษาสมดุลระหว่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อกับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและความผันผวนในตลาดน้ำมัน แต่ก็มีโอกาสที่จะทำกำไรจากสถานการณ์ปัจจุบันได้เช่นกัน 

นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับความคิดเกี่ยวกับอนาคตของราคาน้ำมัน

  • ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มที่จะยังคงผันผวนในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอิทธิพลอยู่ 
  • ราคาน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หาก OPEC+ และรัสเซียยังคงลดการผลิต หรือหากอุปสงค์เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ 
  • อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันอาจลดลงเช่นกันหากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจโลก หรือหาก OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมัน 

| เกี่ยวกับ Doo Prime          

เครื่องมือการซื้อขายของเรา        

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น       

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน       

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก        

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 22 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ        

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก        

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ        

โทรศัพท์        
ยุโรป : +44 11 3733 5199          
เอเชีย : +852 3704 4241           
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415          
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539            

อีเมล      
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]          
ฝ่ายขาย [email protected]         

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)           

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)         

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต          

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้         

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้     

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง        

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย        

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง    

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย        

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป