NVDA เกิดการแตกหุ้น (Stock Split) ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรซื้อหรือไม่

2024-05-30 | NVDA , แตกหุ้น

จากข่าวล่าสุด NVDA ได้ประกาศการแยกหุ้นที่ 10:1 ซึ่งถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!   

ซึ่งหมายความว่าตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2024 เป็นต้นไป แต่ละหุ้น NVDA ที่คุณถืออยู่จะแปลงเป็นสิบหุ้น! หรือหากคุณเป็นนักลงทุนรายใหม่ คุณสามารถซื้อหุ้น NVDA ได้ด้วยต้นทุนน้อยกว่า 10 เท่า  

แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อหุ้น NVDA ที่ “ถูกกว่า” ลองย้อนกลับไปและวิเคราะห์ว่าการแยกหุ้นคืออะไรและผลกระทบที่อาจมีต่อหุ้น NVDA นอกจากนี้ เรามาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคของ Nvidia กันดีกว่า 

หารด้วยสิบ มูลค่าจะคงเดิม 

โดยแก่นแท้แล้ว การแยกหุ้นเป็นกลยุทธ์ทางการเงินแบ่งหุ้นที่มีอยู่ของบริษัทออกเป็นหุ้นจำนวนที่มากขึ้นโดยมีราคาที่ต่ำกว่าเดิม ในกรณีของ NVIDIA 1 หุ้นที่มีราคา 1,000 ดอลลาร์จะแปลงเป็น 10 หุ้นที่ราคา 100 ดอลลาร์แทน แม้ว่าคุณอาจรู้สึกว่าคุณกำลังได้รับการลดราคา แต่จริงๆแล้วมูลค่ารวมของการถือครองของคุณยังคงเท่าเดิม มันเหมือนกับการตัดพิซซ่าออกเป็นสิบชิ้นแทนที่จะเป็นแปดชิ้น คุณยังคงมีปริมาณพิซซ่าเท่าเดิม แค่เป็นชิ้นที่เล็กๆ เท่านั้น 

จิตวิทยาเบื้องหลังการแตกหุ้นของ NVDA 

แล้วทำไมผู้คนถึงตื่นเต้นจากเรื่องนี้? การแยกหุ้นอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อย ราคาหุ้นที่ต่ำลงทำให้หุ้นดูมีราคาที่ไม่แพง โดยเฉพาะหุ้นที่เพิ่งออกสู่ตลาดหรือมีทุนที่จำกัด สิ่งนี้สามารถนำไปสู่แรงซื้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ในระยะสั้น 

ปัจจัยพื้นฐาน: นอกเหนือจากกระแสการแตกหุ้นของ NVDA 

กลับมาที่คำถามสำคัญว่า ถึงเวลาซื้อหุ้น NVDA แล้วหรือยัง? 

ใช่ อาจถึงเวลาแล้ว แต่ไม่ใช่แค่เพราะการแตกหุ้น 10:1 ของ Nvidia ที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น  

แม้ว่าการแตกหุ้นอาจก่อให้เกิดแรงซื้อชั่วคราว แต่นักลงทุนมืออาชีพรู้ดีว่าการตัดสินใจที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ต่อไปนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนกดปุ่มซื้อ: 

ประการแรก Nvidia มีผลประกอบการณ์ที่เกินประมาณการของ Wall Street โดยได้รับแรงหนุนจากประสิทธิภาพของชิป GPU ที่ใช้คำนวณ AI รายรับของ Nvidia เพิ่มขึ้นเป็น 26.04 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 262% เมื่อเทียบเป็นรายปี รายได้ส่วนใหญ่เนื่องมาจากความสำเร็จของ H100 GPU 

ประการที่สอง Nvidia ได้เพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสขึ้น 150% ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและแนวโน้มที่ดี 

ประการที่สาม การเติบโตของรายได้ที่ไม่ธรรมดาของ Nvidia! ในอดีต นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น Windows, World Wide Web และ iPhone ผลักดันการเติบโตของยอดขายให้กับ Intel และ Cisco อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Nvidia เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ ChatGPT 

นอกเหนือจากการทำให้หุ้นเข้าถึงได้มากขึ้นแล้ว การแตกหุ้นยังส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นของฝ่ายบริหาร แต่สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือการรับรู้ว่ามูลค่าของบริษัทจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง 

ซื้อก่อนหรือหลังการแตกหุ้น NVDA? 

การตัดสินใจซื้อเมื่อใดขึ้นอยู่กับเงินลงทุน กลยุทธ์ และการยอมรับความเสี่ยง 

หากเงินทุนของคุณมีมาก คุณอาจพิจารณาซื้อหุ้นก่อนวันแตกหุ้นของ NVDA คุณอาจได้เปรียบเหนือนักลงทุนรายย่อยที่กำลังรอวันที่ 10 มิถุนายน 

หากคุณเป็นนักลงทุนรายย่อย การรอวันแตกหุ้นอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด โมเมนตัมยังมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงและแข็งแกร่งขึ้นต่อไปหลังจากวันที่ 10 มิถุนายน  

การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าหุ้นของ Nvidia มีการซื้อขายเหนือ $1,000/หุ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากประกาศผลประกอบการและการแตกหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้  

ระดับแนวรับราคาหลักปัจจุบันอยู่ที่ 950 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเมื่อก่อนหน้านี้ 

หากหุ้นอยู่เหนือแนวรับนี้ อาจบ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
เทรดเดอร์ควรจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาที่ประมาณ 950 ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการซื้อ 

บททิ้งท้าย: การแตกหุ้นเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่สัญญาณ  

การแตกหุ้นเป็นเครื่องมือทางการเงิน ไม่ใช่การรับประกันโอกาสในการซื้อ อย่าจมอยู่กับความตื่นเต้น แต่มุ่งเน้นไปที่พื้นฐานของบริษัท รวมถึงหาข้อมูลและตัดสินใจลงทุนโดยมีข้อมูลที่ครบถ้วนตามเป้าหมายและการยอมรับความเสี่ยงของคุณ โปรดจำไว้ว่า เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นคือเมื่อราคาสอดคล้องกับการประเมินศักยภาพของบริษัทในอนาคต 


การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง          

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย          

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง      

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย          

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป