เฟดหยุดนโยบาย Hawkish ชั่วคราว: วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้น พันธบัตร และคู่สกุลเงิน

2023-06-22 | คู่สกุลเงิน , ตลาดหุ้น , พันธบัตร , เฟด

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน เฟดได้ประกาศแผนการของนโยบายดอกเบี้ย หลังจากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2022 ในช่วง 5% ถึง 5.25% 

แผนการครั้งนี้ทำให้เกิดสัญญาณ Hawkish ขึ้นอย่างรุนแรง บ่งชี้ว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้งในปี 2023 โดยมีโอกาสเพิ่ม 25 Basis Point ในเดือนกรกฎาคม การตัดสินใจที่เรียกว่า การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือ “Hawkish Pause” ครั้งนี้ก่อให้เกิดคำถามว่าตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดค่าเงินจะได้รับผลกระทบอย่างไร 

เมื่อพิจารณาจากประวัติแผนการปรับนโยบายการเงินของเฟด “Hawkish Pause” นี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีกับตลาดหุ้นสหรัฐ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะนำไปสู่ผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

แผนการ “Hawkish Pause” ของเฟดจะส่งผลต่อแนวโน้มของหุ้น พันธบัตร และตลาดสกุลเงินอย่างไร 

ในบทความนี้ เราจะพิจารณาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดระหว่างการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและการกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีให้กับนักลงทุน 

หุ้นสหรัฐ: ตลาดยังคงผันผวน แม้เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว 

โดยปกติแล้ว หุ้นสหรัฐมักจะปรับตัวขึ้นในช่วงที่หยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว แต่มักจะเกิดความปั่นป่วนอย่างมากเมื่อเกิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง การตัดสินใจของเฟดในการหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนั้นทำให้นักลงทุนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยนักลงทุนจำเป็นต้องวางกลยุทธ์เพื่อทำกำไรจากหุ้นสหรัฐ และในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันตัวเองจากการดึงกลับ (Pullback) ของราคาด้วย 

  • หุ้นสหรัฐตอบสนองด้วยการลดลงเล็กน้อย 

โดยทั่วไป การตัดสินใจหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับตลาด โดยเป็นการช่วยดันราคาหุ้นสหรัฐให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศนโยบายอัตราดอกเบี้ยล่าสุด หุ้นสหรัฐร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดรายวันในช่วงสั้นๆ 

ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลง ขณะที่ Dow Jones ร่วงเกือบ 430 จุดหรือมากกว่า 1% ณ จุดเดียว พฤติกรรมของตลาดที่สวนทางกับสัญชาตญาณนี้มีสาเหตุหลักมาจากการที่สมาชิกเฟด 12 คนจากทั้งหมด 18 คนคาดการณ์ว่าจะเกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานเฟดยังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว โดยระบุว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเชื่อว่าควรเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 

  • การคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดสร้างความผันผวนในตลาด 

เมื่อตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากขึ้น นำไปสู่การเทรดที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวังมากขึ้นพร้อมกับราคาหุ้นสหรัฐที่อาจจะลดลง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือ เมื่อสิ้นสุดวันที่ 15 หุ้นสหรัฐสามารถฟื้นตัวจากการขาดทุนได้ และดัชนีหุ้นหลักสามตัวรวมกันปิดสูงขึ้น 

อันที่จริงแล้ว หุ้นสหรัฐมีการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 โดยดัชนี Nasdaq ที่เน้นด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในปีนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้กระตุ้นหุ้นสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ แม้ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีก็ตาม แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่ายังไม่มีอุปสรรคที่จะขัดขวางนักลงทุนในการเข้าสู่ตลาด 

เดวิด คอสติน (David Kostin) นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs กล่าวว่า การเติบโตของกำไรที่เกิดขึ้นจาก AI ได้ขยายโอกาสในการพลิกตัวของหุ้นสหรัฐฯ Zhiwei Ren ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Penn Mutual Asset Management มีมุมมองที่คล้ายกัน โดยระบุว่า “เหตุการณ์ระดับมหภาคไม่สำคัญแล้ว เพราะ AI ถูกมองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกม” 

โมเดลของ Citigroup เปิดเผยว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นลดลง 71% จาก 83% ตั้งแต่เดือนมีนาคม ความน่าสนใจของหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่ออกจากตลาดไปก่อนหน้านี้ให้กลับเข้ามา และนักลงทุนตลาดหมีถูกบังคับให้เปลี่ยนกลยุทธ์เนื่องจากความกลัวว่าจะพลาดโอกาส (FOMO) โดยรวมแล้ว คาดว่าแนวโน้มขาขึ้นของหุ้นสหรัฐจะดำเนินต่อไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ 

ตลาดตราสารหนี้ : “Yield Curve Inversion” และผลกระทบของ “Hawkish Pause” 

ในมุมมองของตลาดตราสารหนี้ การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวทำให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้ต่ำลง ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น 

ในทางกลับกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งแรงกระเพื่อมต่อตลาดตราสารหนี้ในทางลบ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และราคาเริ่มตกต่ำลง 

พันธบัตรครอบคลุมทั้งระยะยาวและระยะสั้น และ Yield Curve โดยทั่วไปจะแสดงอัตราผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้าน หรือ Inverted Yield Curve บ่งชี้ถึงการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าภาวะถดถอยอาจเกิดขึ้น 

หลังจากเฟดประกาศหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว ดัชนี Merrill Lynch Option Volatility Estimate (MOVE) ซึ่งเป็นมาตรวัดความผันผวนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงมาที่ 104.43 ในวันที่ 16 ใกล้จุดต่ำสุดก่อนเฟดจะดำเนินการขึ้นดอกเบี้ย แนวโน้มนี้บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่มั่นคงในตลาดตราสารหนี้และลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเทขาย (Sell-off) 

ในอดีต ดัชนี MOVE และอัตราพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ แสดงความสัมพันธ์เชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศนโยบายดอกเบี้ยดังกล่าว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อยที่ 3.80% แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้น การเคลื่อนไหวของตลาดเป็นไปตามความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น และทำให้เกิดการขึ้นในระยะสั้นถึง 17 Basis Points 

สัญญาณ Hawkish ของเฟดได้ขยายช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีและ 10 ปีเป็นมากกว่า 90 Basic Points ทำให้ Inverted Yield Curve ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น การกลับมาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้อัตราพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ยังมีความซับซ้อนอยู่ในปัจจุบัน 

ด้วยหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เกินระดับ 32 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 15 ทำให้ประเทศต้องออกตราสารหนี้จำนวนมากเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังจำนวนมหาศาล 

การออกตราสารหนี้ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้อัตราการกู้ยืมเงินระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งทำให้การผกผันของเส้นอัตราผลตอบแทนรุนแรงขึ้น และทำให้เราได้เห็นความเสี่ยงของภาวะถดถอยได้ชัดมากขึ้น  

ตลาดสกุลเงิน: ความแตกต่างของแผนการของธนาคารกลางแต่ละประเทศ 

นโยบายอัตราดอกเบี้ยล่าสุดจากธนาคารกลางทั่วโลกแสดงให้เห็นแผนการที่แตกต่างกัน เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดเลือกที่จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว ในขณะที่ธนาคารกลางของจีนเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย และธนาคารกลางยุโรปยังคงเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอยู่ แผนการที่ขัดแย้งกันนี้ส่งผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยนของเงินดอลลาร์สหรัฐ 

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ การหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราวของเฟดมีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ตามรูปแบบแผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เงินดอลลาร์ประสบกับช่วงเวลาการหยุดชะงักและลดลง ก่อนจะเกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ทำให้เงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้น  

ในช่วงการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ทิศทางของเงินดอลลาร์ไม่มีความแน่นอน เนื่องจากเงินดอลลาร์ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในประเทศ อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากนโยบายทางการเงินที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางประเทศอื่นๆ อีกด้วย 

หลังจากการประกาศแผนการล่าสุดของเฟด ดัชนีดอลลาร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณณ 60 จุดในระยะสั้น มีการคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะยังทนได้อยู่ในอนาคตอันใกล้ โดยจะค่อยๆ อ่อนค่าลงเฉพาะในเดือนก่อนหน้าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก 

ความกลัว” และ “ความโลภ” ในตลาด 

Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า เป็นสิ่งที่ดีที่นักลงทุน “กลัวเมื่อคนอื่นโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกลัว”

ดัชนีที่ใช้วัดความเชื่อมั่นของตลาด อย่าง ดัชนี “Fear & Greed Index” พุ่งขึ้นเป็น 79 ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความโลภของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากขึ้นไปถึง 90 จะบ่งบอกถึง การมองโลกในแง่ดีมากเกินไป และสภาพตลาดที่ร้อนแรง (Market Overheating)

แม้ว่าเฟดจะหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว แต่เครื่องบ่งชี้สำคัญ เช่น หุ้นสหรัฐ ความผันผวนของพันธบัตร และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้กลับสู่ระดับเดิมก่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ย หุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่พุ่งขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อแพทเทิร์นของหุ้นสหรัฐฯ ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ เผชิญกับความซับซ้อนเนื่องจากหนี้ที่สูง และ Inverted Yield Curve ที่รุนแรงขึ้น ทิศทางในอนาคตของเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก 

ท่ามกลางกระแสตลาดที่มองโลกในแง่ดีในปัจจุบัน นักลงทุนควรระแวดระวังอารมณ์สุดโต่งของตลาดในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและผันผวน เราต้องต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบและดำเนินการซื้อขายด้วยความระมัดระวัง 

ขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ เครื่องมือ CME FedWatch แสดงถึงความน่าจะเป็นที่ 76.9% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 Basic Point ในเดือนกรกฎาคม เป็นเรื่องที่ต้องดูต่อไปว่าจากแผนการของนโยบายดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นนี้ หุ้น พันธบัตร และคู่สกุลเงินจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 

| เกี่ยวกับ Doo Prime          

เครื่องมือการซื้อขายของเรา        

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น       

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน       

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก        

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 22 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ        

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก        

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ        

โทรศัพท์        
ยุโรป : +44 11 3733 5199          
เอเชีย : +852 3704 4241           
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415          
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539            

อีเมล      
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]          
ฝ่ายขาย [email protected]         

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)           

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)         

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต          

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้         

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้     

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง        

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย        

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง    

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย        

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป