หุ้น 7 ตัวจะดัน S&P 500 ไปสู่นิวไฮหรือไม่

2023-12-01 | Alphabet , Amazon , Apple , Meta , Microsoft , Nvidia , Tesla , หุ้นสหรัฐ

หุ้นมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการหุ้น 7 ตัวที่ถูกเอ่ยนามว่าเป็นหุ้น ‘Magnificent 7’ อันได้แก่ Apple (AAPL), Alphabet (GOOGL, GOOG), Microsoft (MSFT), Amazon (AMZN), Meta (META), Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) ซึ่งตอนนี้ หุ้นเหล่านี้ได้กลายเป็นจุดสนใจที่จะผลักดันตลาดไปสู่จุดสูงสุดใหม่ 


 ปี 2023 เหลือเวลาอีกเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น S&P 500 (^GSPC) พุ่งขึ้นอย่างน่าทึ่ง โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 19% และหุ้น Magnificent 7 ก็มีบทบาทสำคัญต่อตลาดอย่างมากในปีนี้ 

หุ้น Mega-cap เหล่านี้ได้กลายเป็นจุดสนใจ และเป็นส่วนทำให้ตลาดพุ่งขึ้น โดยได้รับแรงกระตุ้นหลักจากที่นักลงทุนที่ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้ง หุ้นเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับ Cloud Computing ปัญญาประดิษฐ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยนักลงทุนมองว่าหุ้นเหล่านี้เป็นตัวเร่งสำหรับเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและส่งผลกระทบต่อชีวิตคนหลายพันล้าน 

อิทธิพลที่ทรงพลังของหุ้นเหล่านี้ เราจะเห็นได้จากที่หุ้นเหล่านี้คิดเป็น 28% ของ S&P 500 ชัดเจนว่าสามารถดันดัชนีนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง และนอกจากนี้ ตามที่ David Kostin หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของ Goldman Sachs กล่าวไว้ หุ้นทั้ง 7 ตัวมีงบดุลที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรที่สูงขึ้น การเติบโตของยอดขายที่คาดหวังที่เร็วขึ้น และอัตราส่วนการลงทุนซ้ำที่สูงกว่าหุ้นอื่นๆ 493 ตัว พวกเขายังซื้อขายด้วยการประเมินมูลค่าซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยล่าสุดเมื่อคำนึงถึง Expected Growth ด้วย 

เรามาดูรายละเอียดของหุ้นทั้ง 7 ตัวกันเลยตอนนี้ 

หุ้น 7 ตัวที่ต้องจับตาในขณะที่ S&P ทำนิวไฮ 

Apple (AAPL) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023) 

เดือนพฤศจิกายนเราได้เห็นหุ้น Apple เพิ่มขึ้น 1.1% โดยกลับมาอีกครั้ง ณ วันที่ 26 ตุลาคม หลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน S&P 500 ขยับในวันที่ 2 พฤศจิกายน และแม้ว่า Apple Inc. จะมีรายรับในช่วงไตรมาสวันหยุดที่ลดลง แต่หุ้นก็ฟื้นตัวขึ้นในแนว 50 วันได้ 

หุ้น Apple มีจุดเข้าซื้อในวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยฟื้นตัวจากเส้น 50 วันและหลีกเส้นแนวโน้มขาลงได้อย่างหวุดหวิด เช่นเดียวกับ Nasdaq และ S&P 500 หุ้นยังคงพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนกันยายน ณ ตอนนี้ Apple ยังห่างไกลจากจุด 198.23 และอยู่ห่างจากการเข้าช่วงแรกอยู่มาก 

Nvidia (NVDA) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023)  

ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2023 ยอดขายในไตรมาสที่สามของ Nvidia อยู่ที่ 18.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าการเติบโตจะเป็นที่น่าประทับใจน้อยกว่าไตรมาสก่อนถึง 34% แต่ก็ยังมากกว่าสามเท่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

กำไรของบริษัทสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 9.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 6.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสก่อน และ 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า บริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างตลาดหน่วยประมวลผลกราฟิก ซึ่งศูนย์ข้อมูลใช้เพื่อเพิ่มความสามารถด้าน AI และสนับสนุนการเติบโตของ AI สำหรับลูกค้าองค์กร เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว หุ้น NVDA พุ่งขึ้น 237.3% ในปี 2023 ทำให้เป็นหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดใน S&P 500 

Alphabet (GOOGL, GOOG) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023) 

Alphabet เอาชนะตัวเลขการคาดการณ์โดยรวมของผลประกอบการไตรมาสสาม ในเดือนพฤศจิกายน เราได้เห็นหุ้น Google เพิ่มขึ้น 9.1% อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากหุ้นร่วงลง 5.2% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเห็นได้จากการขาดทุน 9.9% ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ตุลาคม อันเป็นผลมาจากการเติบโตของ Google Cloud ที่ไม่น่าพอใจนัก 

อย่างไรก็ตาม หุ้นฟื้นตัวตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบัน หุ้นของ GOOGL เกินเส้น 50 วันไปแล้ว จุดซื้อของพวกเขาคือ 141.22 ซึ่งมาจาก Flat Basis ที่เชื่องช้า หากเคลียร์จุดสูงสุดในวันที่ 16 พ.ย. ที่ 137.22 หุ้นของ Google จะมีจุดให้เข้าซื้อได้

Amazon (AMZN) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023) 

จากข้อมูลของ CNBC ราคาหุ้นของ Amazon ลดลงก่อนที่จะประกาศผลประกอบการ แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดเผยข้อมูล บริษัททำได้เกินการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 59 เซนต์ต่อหุ้นและยอดขาย 141.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรายงานผลกำไรที่ 94 เซนต์ต่อหุ้นจากรายรับ 143.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ข่าวทั้งหมดของ Amazon จะเป็นไปในเชิงบวก คำแนะนำในไตรมาสที่สี่ของบริษัท ณ จุดกึ่งกลางต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ดูเหมือนว่า Amazon กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดคลาวด์ไปบางส่วน เมื่อเทียบกับ Microsoft Azure ที่เพิ่มขึ้น 29% และ Google Cloud ที่เพิ่มขึ้น 22% Amazon Web Services มีรายได้จากระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น 12% 

Microsoft (MSFT) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ dated 29/11/2023) 

ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ Microsoft ทำผลงานของไตรมาสนี้ได้ดีจนแทบไม่มีข้อบกพร่อง และหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นในช่วงแรก Microsoft ทำได้เกินการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์โดยมีรายได้ 2.99 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น จากยอดขาย 56.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน รายได้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบเป็นรายปีและเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่มีการเติบโตเร็วขึ้น 

นอกจากนี้ Wall Street คาดการณ์การเติบโต 15% สำหรับทั้งปีปัจจุบันและปีที่กำลังจะมาถึง 

Meta (META) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023) 

ตรงกันข้ามกับประมาณการฉันทามติที่ 3.70 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นและ 33.45 พันล้านเหรียญสหรัฐ Meta เปิดเผยผลกำไรที่ 4.39 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นจากรายรับ 34.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับความเห็นของฝ่ายบริหารที่เตือนตลาดโฆษณาเนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้หุ้นยักษ์ใหญ่ตกลง 

แม้จะมีข้อกังวลต่างๆ แต่พื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทสามารถผลักดันหุ้นให้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ไม่เคยถึงมาก่อนได้ 

Tesla (TSLA) 

(ที่มา investor.com ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2023) 

ตรงกันข้ามกับการคาดการณ์ที่ 73 เซนต์ต่อหุ้นจากรายรับ 24.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Tesla เผยผลประกอบการที่ 66 เซนต์ต่อหุ้นจากยอดขาย 23.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หุ้นของบริษัทยังไม่กลับสู่ระดับเดิมในตอนเปิดเผยรายงานผลประกอบการ  

ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกหุ้น Magnificent 7 หรือไม่? 

โดยทั่วไป แม้ตลาดจะเคลื่อนไหวแบบขึ้นๆ ลงๆ แต่หุ้น Magnificent 7 ทั้ง 7 ตัวก็เพิ่มขึ้นสองหลักหรือสามหลักจนในปีนี้ และดูเหมือนว่าจะไม่ลดลงเลย 

อย่างไรก็ตาม การทำนายอนาคตแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะหากเรามองจากปี 2023 ตลอดทั้งปี นักคาดการณ์ตลาดต้องปรับเปลี่ยนมุมมองและกลยุทธ์หลายครั้งเนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งก็ยังเป็นจริงเสมอมา 

การลงทุนในหุ้น Magnificent 7 หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในท้ายที่สุดควรขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ทางการเงินของแต่ละบุคคล และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความสามารถในการปรับตัวและมุมมองระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเอาชนะความท้าทายและการบรรลุความสำเร็จในการลงทุนที่ยั่งยืนในโลกแห่งการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

| เกี่ยวกับ Doo Prime            

เครื่องมือการซื้อขายของเรา          

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น         

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน         

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก          

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 22 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ          

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก          

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ          

โทรศัพท์          
ยุโรป : +44 11 3733 5199            
เอเชีย : +852 3704 4241             
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415            
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539              

อีเมล        
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]            
ฝ่ายขาย [email protected]           

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)             

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)           

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต            

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้           

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้       

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง          

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย          

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง      

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย          

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป