ทิศทางที่ไม่แน่นอนของบิทคอยน์: ฤดูหนาวของคริปโตกลับมาอีกครั้ง? 

2024-07-11 | Forex , Futures , บทความการเงิน

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บิทคอยน์และตลาดคริปโตโดยรวมต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่วุ่นวาย ปริมาณการซื้อขาย, กระเป๋าเงินที่มีการเคลื่อนไหว, และรายงานการไหลออกของเงินทุน ล้วนสะท้อนภาพที่น่าวิตกในตลาดคริปโต 
ท่ามกลางกระแสความผันผวนนี้ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้น: เรากำลังอยู่บนขอบของฤดูหนาวคริปโตอีกครั้งหรือไม่? 
ในบทความนี้ เราจะตอบข้อสงสัยนี้โดยการวิเคราะห์ปัจจัยที่กดดันราคาของบิทคอยน์ จากข้อมูลในอดีต และสัญญาณในอนาคตโดยละเอียด เพื่อกำหนดทิศทางถัดไปของบิทคอยน์ 

อะไรที่กำลังกดดันราคาของบิทคอยน์? 

เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาของบิทคอยน์ 

เนื่องจากธรรมชาติของตลาดที่มีความผันผวนสูง บิทคอยน์กำลังอยู่ในช่วงที่ไม่เสถียร โดยมีแรงกดดันภายนอกในเชิงลบจากบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้อง 

ผลกระทบที่ตามมาจากการล้มละลายของ Mt. Gox 

Mt. Gox ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในศูนย์แลกเปลี่ยนบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุด การล่มสลายของ Mt. Gox หลังจากการถูกแฮ็กครั้งใหญ่ได้ทิ้งเงามืดไว้บนตลาดคริปโต ล่าสุดมีการเปิดเผยแผนที่จะกระจายบิทคอยน์มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ภายในเดือนกรกฎาคม ตามข้อมูลจาก Arkham Intelligence พบว่ากระเป๋าเงินที่เกี่ยวข้องกับ Mt. Gox ได้โอนบิทคอยน์มูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ในวันที่ 5 กรกฎาคม 
ด้วยอุปทานจำนวนมากที่เข้าสู่ตลาดอย่างกะทันหัน อาจเกิดสองสถานการณ์ขึ้น 
1. ด้วยสภาพคล่องที่ดีขึ้น ตลาดอาจฟื้นตัวได้  
2. นักลงทุนที่ตกใจมานานอาจพยายามถอนเงินทุนออกเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า 
โดยรวมแล้ว ด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของตลาดหลังจาก Mt. Gox แจกจ่ายบิทคอยน์มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ ตลาดอาจเห็นความผันผวนอย่างรุนแรง

การขายคริปโตเคอเรนซีของรัฐบาลเยอรมัน  

ตามข้อมูลจาก Arkham รัฐบาลเยอรมันได้โอนบิทคอยน์จำนวน 1,300 BTC ไปยัง Bitstamp Coinbase และ Kraken คิดเป็นมูลค่าประมาณ 75.53 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการโอนที่ใหญ่ที่สุดไปยังตลาดแลกเปลี่ยนศูนย์กลาง (CEXs) ในช่วงเวลานี้ การกระทำดังกล่าวได้เพิ่มแรงกดดันต่อราคาของบิทคอยน์อย่างมีนัยสำคัญ 
“หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ลดลงคือการขายคริปโตเคอเรนซีของรัฐบาลเยอรมัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแนวโน้มการขายในตลาด” ลูซี่ ฮู นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Metalpha กล่าว 

ช่วงขาลงของคลิปโต 

โมเดลการกำหนดราคาปัจจุบันแสดงให้เห็นแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2567 บิทคอยน์กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (SMA200) และปริมาณการซื้อขายที่อยู่ในระดับต่ำ ระดับแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ประมาณ $50,000 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการฟื้นตัวและการลดลงต่อไป 

วงจรประวัติศาสตร์ของ ฤดูหนาวของคริปโต 

ตลาดคริปโตเคอเรนซีเคยผ่าน “ฤดูหนาว” มาหลายครั้ง ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกช่วงเวลาที่ตลาดประสบกับการลดลงของราคาที่รุนแรงและยาวนาน ทำให้นักลงทุนหลายคนรู้สึกผิดหวัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้วสามครั้งในอดีต: 

ปลายปี 2013 – ต้นปี 2015: บิทคอยน์ขึ้นสูงสุดครั้งแรกที่ $1,200 แล้วตกลงต่ำกว่า $200 ภายในต้นปี 2015 

ต้นปี 2018 – ปลายปี 2019: ตกลงไปที่ระดับ $4,000 จากจุดสูงสุด $20,000 เนื่องจากตลาดร้อนแรงเกินไป 

กลางปี 2022 – ต้นปี 2023: จากระดับสูงสุด $69,000 ลดลงมาที่ประมาณ $20,000 

ด้วยราคาของบิทคอยน์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับต่ำสุดตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม คำถามที่เกิดขึ้นคือ: 
“ฤดูหนาวของคริปโต” จะเกิดขึ้นในปี 2567 หรือไม่?? 

ในการหาคำตอบ เราจำเป็นต้องพิจารณาอิทธิพลทางเศรษฐกิจมหาภาคที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเปรียบเทียบกับช่วงขาลงที่ผ่านมาล่าสุด โดย’ฤดูหนาว’ที่ผ่านมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป: 
กลางปี ​​2565 – ต้นปี 2566 ฤดูหนาวของคริปโต 

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: ในปี 2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้มูลค่าของสกุลเงินแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้ความน่าสนใจของสินทรัพย์ที่มีเสี่ยง รวมถึงสกุลเงินคริปโตลดลง นักลงทุนในช่วงเวลานี้มักจะหันไปหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น 

การล่มสลายของกองทุนและสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ: Terra/LUNA และ FTX ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดได้พังทลายลง ส่งผลให้ตลาดสูญเสียความเชื่อมั่น และส่งผลให้มีการไหลออกของเงินทุนจำนวนมาก 

ความไม่มั่นคงทางทางเศรษฐกิจทั่วโลก: ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน 

การขาดแคลนสภาพคล่อง: เนื่องจากเงินไหลออกจากตลาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง ตลาดสกุลเงินดิจิทัลซึ่งมีสภาพคล่องที่จำกัดอยู่แล้ว จึงต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น 

ความหวังของ Bitcoin ท่ามกลางความไม่แน่นอน 

แม้จะมีความท้าทายที่น่าเป็นกังวลเหล่านี้ แต่ตลาดคริปโตยังมีความหวังอยู่ แนวโน้มของตลาดในปี 2567 มีข่าวดีที่สามารถปกป้องตลาดคริปโต จาก “ฤดูหนาว”ได้ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed: ด้วยดัชนีเงินเฟ้อที่เป็นบวกและตลาดแรงงานที่มั่นคง การคาดการณ์ลดอัตราดอกเบี้ยอาจกระตุ้นความสนใจในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น Bitcoin 

การเปิดตัวของ Bitcoin ETFs: การเปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin (ETFs) นับเป็นก้าวสำคัญในวงการคริปโต โดยการขยายการเข้าถึงและทำให้ Bitcoin ได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่นักลงทุนแบบดั้งเดิม หลังจากการเปิดตัว กองทุนซื้อขาย Bitcoin spot ETFs ในสหรัฐฯ มีปริมาณการซื้อขายถึง 200 พันล้านดอลลาร์ 

RRP (Reverse Repo) ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง: ด้วยการรักษาสภาพคล่องและการควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น RRP สามารถสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงสกุลเงินดิจิทัล 

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือแนวโน้มการนำและการประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลโดยธุรกิจและสถาบันต่าง ๆ ตามรายงานของ SBIDAH ในเดือนพฤษภาคม เกี่ยวกับการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสถาบัน พบว่า 42% ของธุรกิจให้ความสำคัญกับสกุลเงินคริปโตเป็นประเภทสินทรัพย์ที่พวกเขาเลือกใช้มากที่สุด 
นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2023 ความผันผวนเฉลี่ยในช่วง 60 วันของ Bitcoin ยังคงต่ำกว่า 50% แม้จะมีผลกระทบอย่างมากจากการเปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) ก็ตาม ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังเติบโตขึ้นและได้รับความไว้วางใจมากขึ้นในแต่ละวัน 

นักลงทุนสามารถทำอะไรได้บ้าง? 


เมื่อพิจารณาว่าตลาดแสดงสัญญาณทั้งด้านลบและด้านบวก จากมุมมองของเรา เราควรมุ่งเน้นที่ปัจจัยที่มีผลกระทบในระยะยาว 
ในด้านนี้ ด้วยสัญญาณที่เพิ่มขึ้นของตลาดสกุลเงินคริปโตโดยรวมและ Bitcoin โดยเฉพาะกำลังเติบโตในแง่ของโครงสร้างทางกฎหมายและสินทรัพย์ Bitcoin ดูเหมือนจะไม่น่าจะเผชิญกับ “ฤดูหนาว” เหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความผันผวนของตลาดและผลกระทบจากปัจจัยอุปสงค์และอุปทานถือเป็นเพียง “การทดสอบ” สำหรับตลาดเท่านั้น 
ในเชิงเทคนิค แนวต้านที่ระดับ $50,000 ถือเป็นจุดสำคัญ หากราคาทดสอบพื้นที่นี้หลายครั้ง อัตราดอกเบี้ยของเฟดมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ราคาฟื้นตัวได้ ในขณะเดียวกัน การติดตามความผันผวนของราคาอย่างใกล้ชิดเมื่อ Bitcoin จำนวนมากจาก Mt. Gox เข้าสู่ตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่นเคย ควรระมัดระวังทุกครั้งก่อนที่จะเกิดความผันผวน และใช้โอกาสจากข่าวเศรษฐกิจมหภาคในช่วงเวลานี้อย่างชาญฉลาด 


การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง          

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย          

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง      

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย          

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป