นักลงทุนเตรียมพร้อม: ถึงเวลาที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหรือยัง? 

2024-09-05 | Fed

นักลงทุนเตรียมพร้อม: ถึงเวลาที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหรือยัง? 

บทนำ 

การคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในวันที่ 18 กันยายน ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของตลาดการเงิน คำแถลงล่าสุดจาก เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed และรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้เสริมความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากธนาคารกลางปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายจากการต่อสู้กับเงินเฟ้อไปสู่การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

คำกล่าวล่าสุดของ พาวเวลล์ ว่า “ถึงเวลาแล้ว” ยิ่งเพิ่มกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับขนาดของการลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ต่างถกเถียงกันถึงผลกระทบในวงกว้างที่อาจตามมา 

การคาดการณ์และแนวโน้มของตลาด 

เมื่อการประชุมของ Fed ในเดือนกันยายนใกล้เข้ามา ความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของ CME’s FedWatch Tool เมื่อวันจันทร์ แสดงให้เห็นว่ามีโอกาส 69% สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน ขณะที่ความเป็นไปได้ของการลดที่มากถึง 50 จุดพื้นฐานอยู่ที่ 31% 

บันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ในเดือนกรกฎาคมชี้ให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายบางคนได้เริ่มพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ย โดยมี “หลายคน” ระบุว่าความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการควบคุมเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่มีการปรับลดในเดือนกรกฎาคม แต่สัญญาณเหล่านี้ ประกอบกับคำกล่าวล่าสุดของ พาวเวลล์ ในงานสัมมนาเศรษฐกิจที่ Jackson Hole แสดงให้เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนมีความเป็นไปได้สูง 

Powell ชี้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจใกล้เข้ามา 

ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่งานสัมมนาเศรษฐกิจ Jackson Hole เจอโรม พาวเวลล ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ โดยกล่าวว่า “ถึงเวลาที่จะต้องปรับนโยบายแล้ว” และเสริมว่า “ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงมีความชัดเจน ส่วนเวลาและความเร็วของการลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และความเสี่ยงที่ต้องประเมิน” 

แม้ว่า Powell จะไม่ระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่คำกล่าวของเขาในที่ประชุมได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าธนาคารกลางพร้อมที่จะปรับนโยบายเพื่อป้องกันการอ่อนแอของเศรษฐกิจเพิ่มเติม และนำพาเศรษฐกิจไปสู่ “การทรงตัวของเศรษฐกิจ” 

รูปแบบที่ผ่านมา: การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

นักลงทุนเตรียมพร้อม: ถึงเวลาที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหรือยัง? 
ที่มา: BCA Research 

ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าแทบทุกครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจมักจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้าหลังจากนั้น ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลจาก St. Louis Fed ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2498 เป็นต้นมา เกือบทุกครั้งที่มีการลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจมักจะชะลอตัวตามมา ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นการบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มชะลอตัวอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ Fed ต้องเข้ามาดำเนินการ เมื่อถึงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ มักจะเป็นช่วงหลายเดือนหลังจากที่มันเริ่มต้นไปแล้ว ซึ่งทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นมาตรการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์มากกว่าการป้องกันล่วงหน้า 

ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีกับพันธบัตรอายุ 2 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในอดีตที่ผ่านมา การเกิดภาวะอัตราผลตอบแทนกลับด้าน —เมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว—มักเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจุบัน เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้านมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีบางคนโต้แย้งว่า “ครั้งนี้อาจแตกต่างออกไป” แต่การกลับหัวของเส้นอัตราผลตอบแทนดังกล่าวเคยเป็นสัญญาณที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอดีต 

การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed: การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดต้นทุนการกู้ยืม แต่ระดับการปรับลดสามารถส่งผลกระทบต่อทิศทางความเชื่อมั่นของตลาดได้แตกต่างกัน: 

  • การลดอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อย (25 จุดพื้นฐาน):
    วิธีที่ไม่เสี่ยงมากนี้ถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่อาจช่วยรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ จากข้อมูลตลาดที่แสดงถึงความเป็นไปได้ถึง 69% การลดลง 25 จุดพื้นฐานอาจสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ FED ในการผ่อนปรนนโยบายการเงินอย่างรอบคอบโดยไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งจะช่วยสร้างเส้นทางการสนับสนุนเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง 
  • การลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น (50 จุดพื้นฐาน):
    การลดอัตราดอกเบี้ยที่หนักหน่วงขึ้นอาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วขึ้นโดยทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนที่ถูกลง แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ความเป็นไปได้ 31% ของการลดลง 50 จุดพื้นฐานบ่งชี้ว่าแม้จะมีโอกาสน้อยกว่า แต่ก็ยังเป็นไปได้ การดำเนินการเช่นนี้อาจส่งสัญญาณว่าเฟดมองเห็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นข้างหน้า พาวเวลยังได้แย้มว่าเฟดอาจพิจารณาทางเลือกนี้หากเชื่อว่าตลาดแรงงานกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน โดยเน้นว่า “เราไม่ได้มองหาหรือยินดีให้เกิดการชะลอตัวเพิ่มเติมในสภาพตลาดแรงงาน” 

เกมถ่วงดุลของ Fed 

มีหลายปัจจัยที่จะส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของ Fed: 

  • แนวโน้มเงินเฟ้อ:
    ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งทำให้ Fed มีความยืดหยุ่นมากขึ้น หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.3% มานานกว่าหนึ่งปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี เจ้าหน้าที่ดูเหมือนมีความมั่นใจมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางแล้ว “ความเสี่ยงขาขึ้นของเงินเฟ้อลดลงแล้ว” พาวเวลกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ 
  • ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ:
    Fed กำลังติดตามตัวชี้วัดอย่างใกล้ชิด เช่น การเติบโตของ GDP ข้อมูลการจ้างงาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ตลาดแรงงานก็เริ่มแสดงสัญญาณของความตึงเครียด โดยอัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยและความกังวลเกี่ยวกับสภาพของตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น พาวเวลได้เน้นย้ำว่า “ทิศทางมีความชัดเจน และจังหวะและเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับ การคาดการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และการสมดุลความเสี่ยง” 
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุน:
    ธนาคารกลางยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่การตัดสินใจอาจมีต่อความเชื่อมั่นของตลาด การลดอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินไปอาจสร้างความกังวลให้กับตลาด หากถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหาเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งขึ้น การเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงถึงความมองโลกในแง่ดี โดยดัชนี S&P 500 ขยับเข้าใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีมากขึ้น 

การคาดการณ์ของ FOMC และการคาดหวังอัตราดอกเบี้ยในอนาคต 

นักลงทุนเตรียมพร้อม: ถึงเวลาที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหรือยัง?
ที่มา: CME Group 

ในช่วงหลัง 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) ยังมีกำหนดการประชุมอีกสามครั้งในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคม หาก Fed ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จะเป็นโอกาสทั้งสามครั้งนี้ที่จะดำเนินการได้ จากการคาดการณ์ของเครื่องมือ FedWatch ของ CME อัตราดอกเบี้ยเงินกองทุนของ Fed อาจอยู่ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.5%เมื่อสิ้นปี 2567 ซึ่งถือว่าลดลงจากระดับปัจจุบันถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนในประมาณการนี้ แต่แนวโน้มดังกล่าวบ่งชี้ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญภายในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจสะท้อนถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านตลาดแรงงาน 

โดยสรุป 

เมื่อ Federal Reserve เตรียมตัวสำหรับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 18 กันยายนนี้ เผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลอย่างซับซ้อน การลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่การปรับเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณถึงความมั่นใจของ Fed ในความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อและความมุ่งมั่นที่จะรักษาตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังคงปรากฏออกมา การตัดสินใจของธนาคารกลางอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและตลาดการเงินในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ไม่ว่าจะเลือกการลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ 25 จุดพื้นฐาน หรือการลดที่เข้มข้นมากขึ้นที่ 50 จุดพื้นฐาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างมากต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก 


การเปิดเผยความเสี่ยง
หลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินที่อ้างอิง เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และไม่สามารถคาดการณ์ได้ อาจเกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากที่เกินกว่าการลงทุนเริ่มต้นภายในระยะเวลาอันสั้น 
โปรดมั่นใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทก่อนที่จะทำธุรกรรมกับเรา หากคุณไม่เข้าใจความเสี่ยงที่อธิบายไว้ข้างต้น ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน. 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอ หรือคำเชิญในการซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ และไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูล การอ้างอิงถึงผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่มีการรับรองหรือการรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือการลงทุนใด ๆ ที่ทำขึ้นตามข้อมูลดังกล่าว 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป